คนตกสี ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : คำถามจากเขา คำตอบจากคุณ โดย:กล้า สมุทวณิช

 

คําถามจากเด็กหนุ่มคนนั้นรบกวนจิตใจของคุณตลอดสัปดาห์

คุณรู้จักเขา เช่นเดียวกับผู้สนใจข่าวสารการเมืองทั่วไป ในนามของ “ไผ่ ดาวดิน” หรือชื่อที่ปรากฏในเอกสารราชการว่า นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา

เด็กหนุ่มผู้สดใสและมีอุดมการณ์มุ่งมั่นผู้ถูกจองจำด้วยข้อกล่าวหาในคดีร้ายแรงที่สุดของประเทศนี้ ตามประกอบด้วยคดีจิปาถะที่จะลงอาญาแก่เขาอีกสารพัดข้อหา ที่หากฝานลอกปอกภาษากฎหมายขรึมขลังออกจากข้อหาเหล่านั้นให้เหลือแก่น ก็จะพบว่าความผิดของเขานั้นมีสาระประการเดียวเท่านั้น คือความผิดในฐานดื้อดึงฝ่าฝืนต่อคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ผู้ทรงปืน

Advertisement

เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว คณะนักเขียนและบรรณาธิการกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่นั้นคุณคุ้นหน้าคุ้นชื่อ ประกอบด้วย สุชาติ สวัสดิ์ศรี วชิระ บัวสนธ์ อธิคม คุณาวุฒิ วาด รวี ทินกร หุตางกูร ภาณุ ตรัยเวช

วีระพงศ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ และวิทยากร โสวัตร ได้เดินทางไปเยี่ยมพบชายหนุ่มผู้นั้นในวาระที่เขาต้องขึ้นศาลทหารในคดีความข้างต้นนั้นนัดหนึ่ง

เป็นโอกาสนั้นเอง ที่ชายหนุ่มฝาก “ข้อความ” มาให้กวีและนักเขียนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม “กวี” และ “นักเขียน” ที่เขียนงานที่เขาเรียกว่า “วรรณกรรมเพื่อชีวิตและสังคม” และน่าจะขีดเส้นใต้หนาสองเส้นสำหรับกวีและนักเขียนฝ่าย “ประชาธิปไตย” ที่มีอุดมการณ์อยู่ฝ่ายฝั่งเดียวกัน

Advertisement

“…ผมได้ทำหน้าที่ของผมเต็มที่แล้ว กวีและนักเขียนถามตัวเองบ้างไหมว่า ได้ทำหน้าที่ของเขาเต็มที่หรือยัง…”

คุณจำได้อีกว่า ในวันถัดจากนั้นมีการประกาศรายชื่อหนังสือรวมเรื่องสั้นผ่านรอบแรก (Long List) รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือรางวัลซีไรต์ อันเป็นมงกุฎวรรณกรรมหนึ่งเดียวของประเทศนี้ ซึ่งดึงเอาความสนใจจากนักเขียนทั้งวงการไม่ว่าจะฝ่ายไหนฝั่งใดไปจนสิ้น คุณแสดงความยินดีกับมิตรสหายที่ได้ผ่านเข้ารอบ

แต่คุณก็ยังคงใคร่ครวญถึงคำถามนั้นอยู่ จริงๆ อาจจะไม่ใช่ไผ่หรอกที่ถามคำถามนี้ แต่เป็นคำถามจากมโนสำนึกที่คุณหลีกเลี่ยงที่จะตอบ และไม่เคยถามตัวเองต่างหาก

เอาล่ะ คุณตัดสินใจว่าคุณจะลองถามตัวเองดูว่า คุณได้ทำหน้าที่ของคุณเต็มที่หรือยัง

หากตอบอย่างกำปั้นทุบดิน หน้าที่ของนักเขียนก็คือการเขียน ทุกวันนี้คุณก็เขียนอยู่แล้ว อย่างน้อยก็การเขียนสเตตัสในเฟซบุ๊ก บางครั้งคุณก็อาจจะเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นลงไปให้คนอ่านกันฟรีๆ ในเว็บไซต์ storylog.co ถ้าคุณมีคอลัมน์ประจำสักที่หนึ่งไม่ว่าจะในสื่อกระดาษ หรือสื่อออนไลน์ นั่นรับประกันว่าคุณจะต้องเขียนหนังสืออยู่แน่นอนตามกำหนดระยะเวลา คุณยังคงส่งเรื่องสั้นและผลงานไปประกวดตามเวทีต่างๆ อยู่ไม่ขาด หรือไม่คุณอาจจะกำลังเขียนนิยายรักผสมบทอีโรติกสักเรื่องรอไว้จะส่งไปขายแบบออนไลน์ ซึ่งมีคนกระซิบบอกว่าถ้าเขียนดีๆ มีคนติดตามแล้วล่ะก็ จะทำรายได้ให้คุณได้เดือนละหลายสตางค์เลยทีเดียว

คุณอยากจะตอบใช่ไหมว่า คุณทำหน้าที่ “นักเขียน” ของคุณเต็มที่แล้ว ทั้งๆ ที่คุณก็รู้อยู่ว่าที่กล่าวมาเมื่อย่อหน้าก่อนนี้ทั้งหมดเป็นคำตอบแถไถแก้เกี้ยว

เพราะครั้งหนึ่ง คุณเคยนิยามตัวเองว่าเป็นนักเขียนแนว “วรรณกรรมสร้างสรรค์” ที่ไม่ได้เขียนงานเพียงเพื่อความสนุกสนานแต่เพียงถ่ายเดียว แต่มันต้องประกอบไปด้วยอุดมการณ์อย่างหนึ่งซึ่งคุณเชื่อว่าอุดมการณ์เช่นนั้นจะทำให้โลกและสังคมนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากนั้น คุณก็เขียนหนังสือด้วยความเชื่อว่าจะสามารถนำพาความคิดความเห็น มุมมอง และอุดมการณ์ของคุณให้แผ่เผยออกไปสู่ผู้คนในวงกว้าง ผ่านผลงานวรรณกรรมที่มีความงดงามแนบเนียนด้วยภาษาและรสสัมผัสทางจิตใจ บางครั้งคุณก็เขียนหนังสือด้วยความฮึกเหิม มุ่งมาดปรารถนาให้งานเขียนของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงสังคม ประเทศชาติ และโลกไปสู่อุดมคติเช่นนั้นได้ หรืออย่างน้อยขอแค่แสดงความจริงหรือสะท้อนภาพของผู้คนและสังคมในมุมมองของคุณออกไปให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดว่ามันมีความเป็นจริงอีกด้านหรือข้อคิดข้อเห็นอันแตกต่างจากกระแสหลักแฝงอยู่ในเรื่องเล่าของคุณเท่านั้นก็พอ

และอีกครั้งหนึ่ง ที่คุณเลือกฝั่งฝ่ายของคุณว่าเป็นนักเขียนฝ่าย “ประชาธิปไตย” ที่มีความเชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายนั้นกำเนิดและดำรงอยู่อย่างเสรีและเท่าเทียมกัน การปกครองที่ชอบธรรมจึงจะต้องเป็นการปกครองที่ได้รับความเห็นชอบของประชาชน คุณสมาทานให้อุดมการณ์เช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บ้านเมืองถูกปกครองอย่างไม่เป็นปกติด้วยอาศัยกำลังอำนาจต่างความชอบธรรม ถูกครอบงำด้วยความคิดชี้นำที่ไม่ยอมรับในความเท่าเทียมกันของผู้คน มีการละเมิดคุกคามเสรีภาพเพื่อไม่ให้ใครหืออือโต้แย้ง กระบวนการยุติธรรมถูกบิดเบือนไปในทางละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

หน้าที่ของนักเขียนอย่างคุณในสภาวะเช่นนี้ คงไม่ใช่แค่การเขียนสเตตัสหล่อๆ แล้วรอนับจำนวนไลค์ในทุกเช้า หรือเขียนนิยายอีโรติกกระมัง

เช่นนี้แล้ว คุณได้เขียนอะไรที่เป็นการแสดงซึ่งอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเท่าเทียมกัน หรือคุณได้เขียนงานที่สะท้อนภาพความผิดปกติของการใช้อำนาจรัฐและกระบวนยุติธรรมบ้างหรือเปล่า นั่นต่างหากเป็นหน้าที่ของคุณในฐานะ “นักเขียน” ที่ไผ่ให้คุณลองถามตัวเองดูว่าคุณทำหน้าที่นั้นเต็มที่หรือยัง

เรายินดีรับฟังคำชี้แจง หรือหากจะกล่าวให้ตรงไปตรงมา มันคือคำแก้ตัวของคุณ

คุณต่อสู้ว่าคุณมีข้อจำกัดมากมาย เป็นนักเขียน “ฝ่ายนี้” นั้นอยู่ยากหนักหนา ในสภาวะการปกครองที่ไม่มีความมั่นคงทางนิติฐานะเช่นนี้ คุณต้องระมัดระวังแทบทุกถ้อยคำที่เขียนออกไปสู่สาธารณะ การตีความด้วยกฎหมายอย่างเหลือเชื่ออาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ เช่นที่เคยมีนักเขียนคนหนึ่งทำเพจล้อเลียนผู้นำรัฐบาลแล้วถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรง ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องขึ้นในบ้านเมือง ข้อความบางส่วนที่เขาสื่อสารอย่างเป็นส่วนตัวถูกตีความว่าเป็นความผิดฐานที่ร้ายแรงกว่านั้น ทำให้เขาต้องถูกจองจำอยู่นานหลายเดือน ในขณะที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยประกาศจุดยืนว่าไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวในทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

เราทุกคนต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง เพื่อความปลอดภัยในสถานการณ์เช่นนี้

มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่คุณอยากเล่า คือในการประกวดรางวัลวรรณกรรมรางวัลหนึ่งของประเทศนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นรางวัลที่มีหลักการว่า “สนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพแสดงออกทางการเมืองและสืบสานวรรณกรรมการเมืองให้มีส่วนปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตย” แต่ผลปรากฏว่าเรื่องสั้นและบทกวีที่เข้ารอบนั้น มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลงานเหล่านั้นเล่นกับการเมืองระดับชุมชนและครอบครัวมากกว่าระดับประเทศ ไม่มีเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองของคนสองสี หรือความคิดเห็นทางการเมืองแบบสุดขั้ว ไม่มีเรื่องสามจังหวัดภาคใต้ ไม่มีเรื่องความผิดร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญาบางมาตรา (คุณบอกว่าเห็นไหม ขนาดแค่นี้เรายังต้องหลบเลี่ยงการกล่าวถึงมันโดยตรงเลย) ผลพวงและผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรานี้ ไม่มีท่าทีต่อต้านรัฐบาล หรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยตรง และมองปัญหาเป็นเรื่องบุคคลมากกว่าเรื่องระบบ โดยการแก้ปัญหาต้องแก้ที่ตัวบุคคล ด้วยความรักความเข้าใจ

ทุกคนพยายาม “อยู่เป็น” ด้วยการเลี่ยงให้พ้นจากเรื่องการเมืองและผู้มีอำนาจ

คุณยังบอกอีกว่า การเป็นนักเขียนงานแนววรรณกรรมของประเทศนี้ กำลังมีสภาพเป็นเหมือนสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา นิตยสารปิดตัวลงไปทีละฉบับ ซึ่งหมายถึงพื้นที่เวทีทางวรรณกรรมที่ลดน้อยลง แม้แต่เวทีประกวดผลงานวรรณกรรมที่เคยเป็นที่แจ้งเกิดของนักเขียนหน้าใหม่ หรือเติมไฟให้นักเขียนหน้าเก่าก็ค่อยๆ เลิกหายกลายรูปไปจนแทบไม่มีเหลือ สำนักพิมพ์ต่างๆ ที่พิมพ์งานด้านวรรณกรรมออกมาเป็นหนังสือนั้นก็เพิ่มความระมัดระวังในการรับพิจารณาต้นฉบับมากขึ้น

นักเขียนหลายคนที่อยากเห็นผลงานของตัวเองเป็นรูปเล่มหนังสือ อาจจะต้องลงทุนตั้งสำนักพิมพ์เพื่อพิมพ์งานของตัวเอง

จริงอยู่ว่า เราสามารถที่จะเผยแพร่งานผ่านทางเครือข่ายโซเชียลมีเดีย หรือช่องทางออนไลน์ได้ แต่นั่นคนอ่านของเราก็ได้แก่คนอ่านกลุ่มเดิมๆ ที่ติดตามงานของเราอยู่แล้ว รวมถึงเพื่อนนักเขียนที่มีความคิดความเห็นตรงกันกับเรา การเขียนงานที่สะท้อนแสดงถึงอุดมการณ์ในช่องทางเหล่านี้ ในที่สุดก็เหมือนกับการผลัดกันเกาหลังให้กันและกันในที่สุด ไม่มีทางสื่อสารไปยังคนกลุ่มอื่นนอกเหนือไปจากนี้
บางครั้งคุณก็สงสัยว่า สังคมของประเทศนี้ยังต้องการ “นักเขียน” ในแบบที่คุณคิดว่าคุณเคยอยากจะเป็นอยู่หรือไม่ ในยุคสมัยที่คนอ่านหนังสือกันน้อยลง และหนังสือที่ว่าอ่านน้อยกันแล้วนั้น ก็ไม่ใช่หนังสือในแบบที่คุณเขียน คุณยอมรับความจริงนี้เมื่อทราบยอดจำหน่ายของหนังสือรวมคำคมให้กำลังใจที่ขายดิบขายดีพิมพ์ซ้ำไปห้าครั้ง เมื่อนำมาเทียบกับบรรดาหนังสือของคุณและมิตรสหายในแวดวงวรรณกรรม ที่ต่อให้นับที่ยอดพิมพ์ก็อาจจะน้อยกว่ายอดขายฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่งของหนังสือรวมคำคมที่ว่านั้นประมาณหนึ่งในสาม ยอดขายหนังสือในอีกทางหนึ่ง มันคือการสะท้อนจำนวนของผู้อ่านเช่นกัน

ดังนั้นอย่าว่าแต่เขียนหนังสือเพื่อสื่อแสดงอุดมการณ์ประชาธิปไตย หรือสื่อแสดงความผิดปกติบิดเบือนของการใช้อำนาจเลย เอาแค่ว่าเขียนหนังสือให้มีคนอ่านก่อนเถิด

ถ้าเรายอมรับว่าข้อจำกัดทั้งหลายที่คุณกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง เช่นนี้หมายความว่า คุณทำหน้าที่ของนักเขียนของคุณอย่างเต็มที่ภายใต้ข้อจำกัดเช่นนั้นแล้วใช่หรือไม่

คุณเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่ คุณรู้ตัวว่าคุณสามารถทำได้ดีกว่านี้ คุณรู้อยู่ว่า หากคุณพยายามมากขึ้นกว่านี้ ใช้ความสามารถทางวรรณศิลป์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย คุณก็ยังสามารถที่จะเล่าเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง และสะท้อนภาพความผิดปกติของการใช้อำนาจรัฐและกระบวนยุติธรรมได้ด้วยกลวิธีทางวรรณกรรมที่แยบยลและแนบเนียนเสียจนไม่ต้องกลัวอันตรายจากอำนาจรัฐและกฎหมาย ขอเพียงคุณมีความกล้าหาญและใช้ฝีมือมากกว่านี้ เช่นเดียวกับที่คุณรู้ตัวว่าหากคุณพยายามใช้ช่องทางของสื่อใหม่ กับปรับวิธีการเขียนให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่าน คุณก็สามารถที่จะสื่อสารประเด็นทางสังคมให้ผู้คนสามารถตระหนักฉุกคิดตามได้ โดยเขาไม่รู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดอุดมการณ์บางอย่างให้โต้งๆ ผ่านงานเขียน และหากงานของคุณดีพอ คุณก็มั่นใจได้ว่าจะมีผู้ที่ยินดีตีพิมพ์ผลงานของคุณออกมาเป็นหนังสือ

ถ้าคุณพยายามทำงานของคุณให้ดีกว่านี้ สักวันหนึ่ง คุณจะสามารถไปยืนต่อหน้าชายหนุ่มผู้คงมั่นด้วยอุดมการณ์ ร่วมกับเพื่อนนักเขียนของคุณ เพื่อจะให้คำตอบอย่างซึ่งหน้า ต่อคำถามที่ฝากมาเมื่อคราวก่อนนั้นว่า บัดนี้คุณได้สอบทานตัวเอง และสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า บัดนี้คุณได้ทำหน้าที่ในฐานะนักเขียนอย่างเต็มที่แล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image