สัปดาห์ จัดหนัก และความเงียบงัน สงบยาว หรือรอพายุ?

มีคนจำนวนไม่น้อยคาดการณ์ว่าภายหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เดินทางมารับฟังคำพิพากษาของศาลในคดี “ละเลย” โครงการรับจำนำข้าว

และมีข่าวว่าอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเดินทางไปพำนักอยู่ในต่างประเทศแล้วนั้น

บรรยากาศทางการเมืองจะ “ผ่อนคลาย” ลง

เพราะหนึ่งในศูนย์รวมกำลังของ “ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล” ไม่อยู่เป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป

Advertisement

การคาดการณ์นี้จะเป็นจริงหรือไม่ ยังต้องอาศัยความเป็นจริงภายหลัง “ฝุ่นตลบ”

เป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยัน

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ

Advertisement

คดีความต่างๆ ที่มีกำหนดรับฟังคำพิพากษาในเวลาอันไล่เลี่ยกันนั้น

มีผลการพิจารณาที่ทำให้หลายคนเกิดอาการ “หนาวๆ ร้อนๆ” ขึ้นโดยฉับพลัน

ไม่ว่าจะเป็นคดีของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรณีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ที่มีคำพิพากษาโดยไม่รอลงอาญาเป็นเวลา 42 ปี

หรือจำคุก นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเดียวกันกับนายบุญทรง เป็นเวลา 36 ปี โดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน

ยังไม่นับกรณีของ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” ตัวละครสำคัญในคดีรับจำนำข้าวทั้งหลาย ที่ต้องโทษจำคุก 48 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ข้ามมาถึงต้นสัปดาห์

สองคดีใหญ่ในวันเดียวกันที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไปก็คือ

คดีซื้อขายที่ดินอัลไพน์ ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญากับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย

และคดียักยอกเงินค่าโฆษณาของอสมท ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาลงโทษนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรโทรทัศน์ชื่อดัง ยืนตามศาลชั้นต้นคือ 13 ปี 6 เดือน

และให้จำคุกทันทีโดยไม่มีการรอลงอาญาเช่นกัน

ในกรณีของนายยงยุทธ ได้รับการอนุมัติให้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดี

ส่วนกรณีของนายสรยุทธ แม้จะยังสามารถยื่นฎีกาได้ แต่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัว

และยังไม่มีใครทราบว่าจะได้รับอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่

 

แม้คดีต่างๆ จะเป็นแต่ละเรื่องที่เป็นเอกเทศ มีข้อเท็จจริงแตกต่างกันออกไป

แต่ “ความบังเอิญ” ในระยะเวลาของการพิจารณาคดี

มีส่วนทำให้บรรยากาศทางการเมืองที่ทำท่าว่าจะสงบลง เกิดอาการปั่นป่วนขึ้นมาโดยพลัน

และแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหลบหายไปจากจอเรดาร์ทางการเมือง ภายหลังการไม่ปรากฏตัวที่ศาล

แต่หนึ่งวันหลังจากการอ่านคำพิพากษาคดีนายยงยุทธและนายสรยุทธ

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ยังต้องจาริกอยู่ในต่างประเทศ ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์เป็นครั้งแรก ภายหลังจากการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า

“มงแต็สกีเยอ เคยกล่าว ‘ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม’ “

และโพสต์ข้อความในภาษาอังกฤษอันเป็นที่มาเอาไว้ด้วยว่า “Montesquieu once said ‘There is no crueler tyranny than that which is perpetuated under the shield of law and in the name of the justice.’ “

จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ หรือไม่

หรือจะหมายถึงสถานการณ์ในกรณีใด

ทิ้งไว้เป็นปริศนาให้สังคมขบคิดเอาเอง

การเคลื่อนไหวของนายทักษิณจะส่งสะเทือนต่อเนื่องอย่างไร

หรือจะมี “กระบวนท่า” อื่นๆ ติดตามมาหรือไม่

เป็นเรื่องน่าสนใจและส่งผลต่อบรรยากาศทางการเมืองไทยพอๆ กับการนิ่งสงบกบดาน

ทั้งของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ายังมี “บารมี” ทางการเมือง และสามารถก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวหรือผลสะเทือนต่อเนื่องได้ไม่ยาก

หากเริ่มมีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจริง

การกำหนดท่าทีของสองพี่น้องชินวัตร

จึงมีความสำคัญไม่แพ้การกำหนดท่าทีของผู้มีอำนาจใน คสช.

และจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าความสงบที่เกิดขึ้นในระยะสั้น จะยืดยาวออกไป มีการ “เกี้ยเซี้ย” กันแล้วอย่างที่มีผู้ตั้งสงสัยหรือไม่

หรือจะเสมอเป็นเพียงความสงบที่เกิดขึ้นก่อนจะมีพายุใหญ่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image