ในด้านหนึ่ง ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะลดความเกรี้ยวกราดและการแสดงออกถึงอารมณ์ขุ่นมัวลงไป
ทำให้บรรยากาศทั้งที่ทำเนียบรัฐบาลและอื่นๆ ผ่อนคลายลง
อีกด้านหนึ่ง การ “กระชับอำนาจ” ในทางปฏิบัติของ คสช. และรัฐบาลก็เพิ่มความเข้มข้นขึ้นอย่างสัมผัสจับต้องเป็นรูปธรรมได้
ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
8 มีนาคม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและข้อราชการสำคัญเร่งด่วนในการบริหารงานพื้นที่แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยปกติการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดจะประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ แต่ครั้งนี้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดให้มาประชุมด้วยตัวเอง ก่อนการประชุมได้มีเจ้าหน้าที่ขอเก็บโทรศัพท์ของผู้ว่าฯไว้นอกห้อง คาดว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มีการสื่อสารให้คนภายนอกทราบ พร้อมทั้งยังปิดห้องมิดชิดไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้า-ออก
โดยในที่ประชุมมีการหารือเรื่องของนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล มีการขึ้นบัญชีไว้แล้ว โดยให้ผู้ว่าฯทำงานร่วมกับผู้บังคับการตำรวจภูธร และทหาร หากผู้ใดมีคดีก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนผู้ไม่มีคดีให้เชิญไปปรับทัศนคติ
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า รมว.มหาดไทย ได้แจกซองรายชื่อผู้มีอิทธิพลแต่ละพื้นที่ให้กับผู้ว่าฯด้วยตัวเอง โดยมี 8 จังหวัดส่งระดับรองผู้ว่าฯมาประชุมแทน แต่ รมว.มหาดไทยไม่อนุญาตให้เข้าประชุม เนื่องจากต้องการให้ผู้ว่าฯในแต่ละจังหวัดมารับมอบนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพลตามนโยบายของ คสช.ด้วยตัวเอง โดยได้สั่งการให้รองผู้ว่าฯที่มาประชุมแทนไปพบกับนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวง เพื่อรับมอบนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพล
เป็นมาตรการต่อเนื่องมาจากการเปิดเผยบัญชีรายชื่อ “ผู้มีอิทธิพล” บางส่วนจากจำนวนกว่า 6,000 คน ทั่วประเทศออกมา
โดยในจำนวนนั้นมีรายชื่อ “ดั้งเดิม” อาทิ “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ “ส.ส.เก่ง” การุณ โหสกุล รวมอยู่ด้วย
แม้ผู้มีชื่อปรากฏจะทยอยกันออกมาปฏิเสธ
แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีการปฏิเสธซ้อนกลับจากฝ่ายผู้มีอำนาจ ที่เป็นผู้จัดทำบัญชีรายชื่อ
มีแต่คำให้สัมภาษณ์สำทับมาจากผู้คุมกำลัง “ตัวจริง” อย่าง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ว่า การปราบปรามผู้มีอิทธิพลเป็นงานสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลและกองทัพ
และจะไม่หยุดดำเนินการจนกว่าผู้มีอิทธิพล “จะหมดสิ้นไปจากประเทศไทย”
ก่อนหน้ากรณีบัญชีรายชื่อ
ก็มีคดีการส่งกำลังเกือบหนึ่งกองร้อยไป “อุ้ม” หรือเชิญตัวอดีตคนคุ้นเคยกันอย่างนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์ของพรรคเพื่อไทย เข้าไปในหน่วยทหาร
ก่อนจะดำเนินการแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในวันถัดมา
และเป็นช่วงเดียวกันกับการออกมาเปิดหน้าชนกันโดยเปิดเผย ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้เสียหายและตัวแทนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายหนึ่ง
กับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอีกฝ่ายหนึ่ง
ถามว่าในช่วง “ปกติ” ข้อกล่าวหาเรื่องการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ จะเป็น “เรื่องใหญ่” ระดับนี้หรือไม่
ถ้าเรื่องที่คนทั่วไปเห็นว่าเกือบจะเป็นเรื่องปกติในแวดวงตำรวจ กลายเป็นเรื่องใหญ่
จะแปลว่าสถานการณ์อยู่ในภาวะ “ไม่ปกติ” ได้หรือไม่
ช่วงเวลาของการกวาดล้างผู้มีอิทธิพล หรือการปล่อย “หมัดเหล็ก” ออกมานอกสำลีที่หุ้ม
เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่เรียกปฏิกิริยาต่อต้านได้ไม่แพ้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อน
และเป็นช่วงเวลาเดียวกันการเผยแพร่แนวคิดวุฒิสมาชิกแต่งตั้ง ที่จะมา “ประคับประคอง” ประเทศต่อไปอีก 5 ปี
ไม่นับว่าเป็นเวลาเดียวกับที่ดาวมฤตยูย้ายราศี และการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง
ทั้งปวงนี้ประจวบเหมาะกันอย่างยิ่ง