ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
พลันที่มติ ครม.เห็นชอบย้าย นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนาเข้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ความลึกลับดำมืดของการย้าย พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ก็เผยแสดง
ไม่จำเป็นต้องไปฟังเสียงบ่นอันดังออกมาจาก “กรรมการ” ของมหาเถรสมาคมที่คิดถึง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ซึ่งขาดการเข้าร่วมประชุมในฐานะเลขานุการติดต่อกันหลายเดือน
ไม่จำเป็นต้องไปฟังเสียงจากสหพันธ์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
หากฟังจากการแถลงถึงความเหมาะสมของ นายมานัส ทารัตน์ใจ ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ก็น่าจะเพียงพอ
“ทราบว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากมหาเถรสมาคม เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาการทำงานกับคณะสงฆ์ซ้ำอีก”
ชัดกระจ่าง สว่างแก่ใจ
นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับโดยอัตโนมัติถึงปัญหาที่ดำรงอยู่ภายใต้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเฉพาะในห้วง 3 เดือนหลัง
กระทั่งจำเป็นต้องย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ออกไป
แม้การย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ามาในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะอิงอยู่กับมาตรา 44 ขณะที่การย้ายออกไปเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษ สำนักงานนายกรัฐมนตรี
จะเป็นไปตาม “กฎหมาย” ปกติ
แต่หากมองตามกฎแห่งกรรม ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ไปอยู่ คือ ตำแหน่งเดียวกับที่ นายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดนเมื่อเดือนมีนาคม 2559
เท่ากับเป็นกงเกวียนกำเกวียน
กรณีการเหาะมาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
ถือว่าทำตาม “พิมพ์เขียว” ของกระทรวงยุติธรรม
เป็นพิมพ์เขียวที่ดำรงจุดมุ่งหมายในการพุ่งเป้าเข้าไปบริหารจัดการกับวัดพระธรรมกายร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ
จึงได้นำเอา “บุคลากร” จากกรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามา
นั่นก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามข้อเสนอของกรมสอบสวนคดีพิเศษและบรรดา “ที่ปรึกษา” อย่างที่เรียกกันว่า “3 พ.”
แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไรตลอด 6 เดือน
ไม่เพียงแต่ไม่สามารถบริหารจัดการกับวัดพระธรรมกายได้โดยราบรื่นตามเป้าหมาย หากยังก่อผลสะเทือนให้เกิดรอยร้าวลึกระหว่างมหาเถรสมาคมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
แทนที่จะ “สนองงาน” กลับต้องการ “กำกับ” และควบคุม
สภาพอืดเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยวจึงเกิดขึ้นในแวดวงของพระและอารามในขอบเขตทั่วประเทศ กระทั่งบางแห่งประกาศไม่ให้ความร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
จึงจำเป็นต้องย้าย จึงจำเป็นต้องหาคนที่เหมาะสม
ถามว่าสภาวะปั่นป่วน ผิดฝาผิดตัว ระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักรในห้วง 6 เดือนและโดยเฉพาะ 3 เดือนหลังมีใครรับผิดชอบหรือไม่
นอกจากจะย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ากรุ
รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับงานพระศาสนา รัฐมนตรีที่กำกับงานพระศาสนา และที่รับแผนเข้าไปจัดการกับวัดบางวัด รับผิดชอบหรือไม่
เป็นคำถามจากพระ เป็นคำถามจากศาสนจักร