ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
12 กันยายน
ในงาน “รัฐศาสตร์วิชาการ” ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่เชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จากนักวิชาการสู่นายกรัฐมนตรี:ภาพการเมืองที่เปลี่ยนไป” มีกลุ่มนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 4 คน นำโดย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน
ชูป้ายที่เขียนข้อความว่า
“And there were fighting on the street and people unfortunately, some people died น่าเสียดายที่บางคนก็ตาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2555”
ซึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวขอบคุณที่มาแสดงความเห็นและขอบคุณที่ไม่แสดงออกอย่างรุนแรง
แต่ปัญหาตอนนั้นคือมีผู้ติดอาวุธแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม
อันที่จริงตนก็ถูกวิจารณ์จากอีกฝ่ายว่าทำไมส่งทหารไม่มีอาวุธเข้าไปในวันที่ 10 เม.ย.2553 จนเกิดความสูญเสีย
เมื่อมีการยิงอาวุธจากทางฝั่งผู้ชุมนุมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีทางเลือกต้องขอติดอาวุธ
เพื่อเข้าปฏิบัติการต่อไป
“ผมขอย้ำว่าพยายามจะหลีกเลี่ยงความสูญเสีย แต่เมื่อมีการใช้อาวุธกลับมา มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสีย
ทุกวันนี้ก็มีวาทกรรมมาต่อว่าผมอยู่แม้ว่าศาลจะตัดสินไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น ผมขอตั้งคำถาม ถามว่าแทนที่จะใช้วาทกรรมมาชี้หน้ากันว่าอีกฝ่ายขี้โกง เป็นฆาตกร
ทำไมไม่มาพูดคุยกันแบบปัญญาชนมาค้นหาความจริงกันดีกว่าว่ามันคืออะไร
ผ ม ยึด มั่น ใ น คำ ข วัญ ข อ ง พ ร ร คประชาธิปัตย์ว่าให้อยู่กับความจริง ถ้าเรายึดมั่นอยู่กับความจริงแล้ว สักวันหนึ่งสิ่งที่เรายึดมั่นก็จะได้รับการพิสูจน์”
ภายหลังการบรรยาย นายพริษฐ์เดินเข้าไปถามนายอภิสิทธิ์ว่า
“ท่านคิดอย่างไรกับการที่เด็กอายุ 17 ถูกยิงตายที่รางน้ำ”
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า
“ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ เฌอ อายุ 17 ปี ถูกยิงด้วยสไนเปอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553
ที่ซอยรางน้ำ
หนึ่งวันถัดมา
พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)จะแถลงข่าวติดตามคดีทวงความยุติธรรม 99 ศพ ที่อิมพีเรียลลาดพร้าว ในวันที่ 14 กันยายน ว่า
ในเบื้องต้นต้องถามก่อนว่าการแถลงข่าวดังกล่าวถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่
ถ้าเข้าข่ายเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง เรายังไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้ในช่วงนี้ เพราะยังมีงานสำคัญของชาติรออยู่หลายประการ
หากถึงเวลาสมควรแล้ว คสช.ก็จะผ่อนปรนให้ดำเนินการได้
หากกลุ่ม นปช.จะจัดแถลงข่าวจริง ทางเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจทหาร ก็จะเข้าไปดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ด้วย
ถ้ากิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ขอให้พึงระมัดระวัง
“เราไม่อยากให้คิดว่ามีความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ระหว่างฝ่ายเกิดขึ้น เพราะ คสช.พยายามรักษาบรรยากาศความสงบเรียบร้อยเพื่อสนับสนุนการบริหารแผ่นดินของรัฐบาล
แต่ถ้าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเพื่อไปปลุกกระแสเป็นการเคลื่อนไหวต่างๆ เราก็บอกกล่าว ตักเตือน ขอร้อง และขอความร่วมมือให้ใจเย็นๆ ก่อน
รอให้บรรยากาศมีความเหมาะสมจะดีกว่าค่อยดำเนินการ”
และกล่าวย้ำด้วยว่า หากกลุ่ม นปช.ยืนยันจะแถลงข่าวจริงก็ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม
และต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไป
จะเห็นได้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายอภิสิทธิ์ก็ดี
กรณีของ นปช.ที่โยงยาวไปถึง คสช.ก็ดี
ล้วนชี้ให้เห็นว่าบาดแผลของความสูญเสียจากการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนในปี 2553
ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 99 คน และบาดเจ็บอีกนับพัน
ยังไม่ได้จางหายไปจากสังคมไทย
เหมือนจะเป็นแผลเก่า
แต่ก็เป็นแผลสดที่กดหรือกระทบครั้งใด
ก็ยังเจ็บปวดอยู่ครั้งนั้น
ตราบเท่าที่ความจริงยังไม่ปรากฏ
และความยุติธรรมยังไม่บังเกิด