ปริศนา แบมือ และ”คนก็พูดกันไป” แรงกดดัน รัฐบาล

เมื่อวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

เดินทางเข้านมัสการ พระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะ จ.สุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร

เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหารมอบหนังสือธรรมะให้กับนายกรัฐมนตรีหนึ่งเล่ม

พร้อมโอวาทกำกับว่า

Advertisement

“หนังสือเล่มนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เครียดอ่านแล้วจะคลาย สบายอ่านแล้วจะเครียด”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ค่อยสบาย

พระธรรมพุทธิมงคลกล่าวว่า เมื่อไม่สบายก็ต้องอ่าน

Advertisement

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะนำคำสั่งสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติ

พระธรรมพุทธิมงคล ขอจับมือนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า

มือคนเราต้องว่าง แบมือออกมามือต้องว่างจึงจะสามารถหยิบทุกอย่างได้

จงทำใจให้เหมือนมือ อย่ายึดถือไม่ยอมวาง

ท่านกำอะไรไว้ถ้าจะหยิบของใหม่โดยไม่วางของเก่า

ก็หยิบไม่ได้

 

ปริศนาธรรมนี้สำคัญนัก

ราวกับรู้แจ้งแทงทะลุไปถึงกลางใจของนายกรัฐมนตรี

ว่ามากไปด้วยปัญหา มากไปด้วยความกังวล

เพราะเพียงหลังจากเข้ากราบเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์

พล.อ.ประยุทธ์ก็กล่าวปราศรัยกับประชาชนที่มาต้อนรับกว่า 1,200 คน ว่า

ตนไม่ร้อนแดด แต่ร้อนใจ

ทุกคนที่มาวันนี้ทำงานหนัก แม้เศรษฐกิจยังไม่ดี แต่รักษาสถานภาพไว้ได้ เดี๋ยวก็ดีขึ้น

วันนี้ต้องแก้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง หรือหารัฐบาล ก็ไปหามา ไม่ใช่ผม

อย่าเลือกใครผิดอีก

ระหว่างนี้ผมก็ไปตามโรดแมป กฎหมายลูกออกเมื่อไรก็เมื่อนั้น

ทำไมต้องให้ผมมาบอกว่าเลือกตั้งวันที่เท่าไร พอผมบอกไปวันนี้วันนั้น แล้วทำไม่ได้ก็ถูกมองว่าสืบทอดอำนาจ ยื้อเอาไว้

“ผมไม่ได้กลัวแต่อย่ามาไล่ผม ไล่ยังไงตอนนี้ก็ไม่ไป ผมจะไปตามโรดแมป

เพราะเข้ามาแล้ว อย่าให้ต้องเข้ามาอีก

อย่าให้ต้องใช้กำลังอีก เพราะผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก พอได้แล้ว

หลวงพ่อบอกให้ปล่อยวาง ผมจะปล่อยวางได้หรือไม่ เพราะมันคือปัญหาทั้งหมด

ความไม่เข้าใจ ความขัดแย้ง ความคิด ความไม่ปรองดอง

ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ก็ไปไม่ได้ ด่ากันหยาบคายเยอะแยะไปหมด เด็กๆ อ่านแล้วจะรู้สึกอย่างไร คำพูดเหล่านี้ใช้ได้ที่ไหน ด่าแบบเสียหาย

ถ้าผมไม่ได้เป็นนายกฯ ด่าแบบนี้มีเรื่องแน่

ดีที่เป็นนายกฯ จึงอดทน”

 

ยิ่งเวลาผ่านไป ความอดทนยิ่งต้องเพิ่มขึ้น

เพราะ “แรงเสียดทาน” หรือคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น

ไม่ได้ดังจาก “ฝ่ายตรงข้าม” เพียงซีกเดียวอีกต่อไป

แต่ดังมาจาก “ฝ่ายเดียวกัน” มากกว่าด้วย

ถ้าเป็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ก็อาจจะออกมาในแนวกระซิบกระซาบ

แต่ถ้าเป็นประเด็นจุดยืนการเมือง ก็เป็นเรื่อง

เช่น การเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอังกฤษ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปปรากฏตัวในกรุงลอนดอนเพื่อพบปะกับครอบครัวของ นางพินทองทา คุณากรวงศ์ บุตรสาว

ข่าวจาก “ฝ่ายเดียวกัน” ก็คือรองนายกฯและ รมว.กลาโหมอาจได้พบนายทักษิณ

กระทั่ง พล.อ.ประวิตรต้องให้สัมภาษณ์ย้ำหลายครั้งว่า

ไม่มีเลย ไปคนละเวลา ไม่เจอกัน อีกคนไปเวลาหนึ่ง อีกคนกลับเวลาหนึ่ง

ผมกลับถึงไทยเวลากลางวัน แต่เขามากลางคืน

ใช้คนละสนามบินกัน จะไปเจอกันได้อย่างไร

คนก็พูดกันไป”

ตรง “คนก็พูดกันไป” นี้แหละก็สำคัญนักเมื่อวันที่รักกันดูดดื่ม

ที่พูดถึงกันก็มีแต่เรื่องดีงาม ความห่วงใยกังวล

ครั้งรักสิ้นมนต์เสื่อมลง

ที่พูดถึงกันก็กลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ ไปจนกระทั่งตั้งวงนินทา

ที่น่าจะเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรียังออกปากว่า

“ถ้าผมไม่ได้เป็นนายกฯ ด่าแบบนี้มีเรื่องแน่”

น่าสนใจว่าในสถานการณ์ “คนก็พูดกันไป”

รัฐบาลจะ “แบมือให้ว่าง” ตามคำพระอย่างไร

น่าสนใจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image