วอร์ ออฟ เวิร์ดส์ โดย ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

เรื่องน่าหวาดหวั่นของโลกในช่วงนี้น่าจะไม่รอดจากเรื่องเกาหลีเหนือปะทะสหรัฐอเมริกา ชวนระทึกยิ่งกว่ารอฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเป็นจำเลยเสียอีก

เพราะเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงอยู่ ส่วนสหรัฐเป็นเจ้าแห่งอาวุธและกองทัพที่เกรียงไกร จะสู้รบครั้งใดก็สะเทือนโลกครั้งนั้น

เพียงแต่การปะทะช่วงเวลานี้มาถึงจุดพีกที่ผู้นำสองประเทศใช้วาทะซัดกัน นอกจากจะเย้ยว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเต็มเต็งแล้ว ยังขู่ใช้กองทัพสยบกันอย่างชนิดไม่มีใครยอมใคร

ล่าสุดเกาหลีเหนือกล่าวหาอเมริกานั้น “ประกาศสงคราม” กับตนเองแล้ว ดังนั้นถ้าทัพของฝ่ายศัตรูโผล่เข้าไปใกล้เมื่อใด ก็มีสิทธิจะโจมตีทันที ส่วนอเมริกาตอบโต้ทันทีว่าไม่จริงและเป็นเรื่องที่เกาหลีเหนือเพ้อเจ้อไปเอง

Advertisement

คำจำกัดความสงครามน้ำลายระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับคิม จอง อึน ที่ถูกใจผู้คนทั่วไปมาก มาจากนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศของรัสเซียว่า สองฝ่ายควรจะยุติการทะเลาะกันแบบ “เด็กอนุบาล” ได้แล้ว

ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศเห็นคล้ายๆ กันว่าคงจะไม่เกิดสงครามทำลายล้าง แม้ว่าขิงก็รา ข่าก็แรง แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครต้องการสงคราม และคงไม่เสี่ยงจะดีกว่า

เพียงแต่การห้ามปรามสองฝ่ายทำศึกสงครามทางวาจา หรือ War of Words ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถึงอย่างไร คำพูดของคนยังคงเป็นอาวุธที่น่ากลัวและก่อให้เกิดเหตุวิวาทไปจนถึงเอาชีวิตกันมานักต่อนักแล้ว

Advertisement

ความตึงเครียดพิเศษของกรณีเกาหลีเหนือกับสหรัฐก็คือ ผู้นำทั้งสองประเทศนั้นเป็นบุคคลที่ยากจะคาดเดาได้

แม้คนหนึ่งอายุไม่น้อยแล้วอยู่ในวัย 70 แต่ก็มักใช้วาจาหาเรื่องเป็นประเด็นข่าวได้บ่อยๆ ขนาดวงการกีฬาก็ไม่เว้น เพิ่งเปิดศึกต่อว่านักกีฬาอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล ว่าถ้าใครไม่ยืนเคารพธงชาติ ก็ควรถูกไล่ออกไปเลย งานนี้บรรดานักกีฬาเลยลงไปนั่งชันเข่าประท้วงท่านผู้นำกันถ้วนทั่ว เพื่อตอกย้ำว่าสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ และใหญ่กว่าเรื่องยืนเคารพธงชาติเสียอีก

ส่วนผู้นำอีกท่าน บรรดาคนนอกประเมินอายุแล้วยังอยู่ในวัยเลข 3 นำหน้า เป็นบุคคลที่มีประวัติเผยแพร่น้อยมาก นอกจากเพราะเป็นประเทศปิดตัวจากโลกภายนอกแล้ว ยังต้องดูลึกลับน่าเกรงขาม

การที่หนุ่มวัย 30 ต้องมานำประเทศที่เต็มไปด้วยนายทหารระดับสูงล้อมรอบและเสี่ยงต่อการถูกยึดอำนาจนั้น หนทางที่จะอยู่รอดให้ได้คือการสร้างชื่อและภาพลักษณ์แบบคิม จอง อึน ณ วันนี้ขึ้นมาให้ได้ การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์นอกจากจะทำให้ประเทศมีอำนาจการต่อรองกับโลกภายนอกได้มากแล้ว ยังทำให้บารมีภายในประเทศเจิดจรัสขึ้นด้วย

เมื่อการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ท่านผู้นำอายุน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายก็ขายอาวุธป้องกันขีปนาวุธได้ง่ายขึ้น จึงคาดได้ว่าการสู้รบจริงคงไม่มี

ใครที่จะได้ไปอเมริกาต้นเดือนตุลาคมนี้คงไม่ต้องกลัวว่าจะมีระเบิดนิวเคลียร์พุ่งไปถึงทำเนียบขาวแต่อย่างใด

…………….

ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image