ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
วันที่ 27 กันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษา
คดีฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่กรณีผลักดันนโยบายจำนำข้าว และเกิดผลเสียหายจำนวนมาก
คำพิพากษาสรุปว่า หนึ่ง แม้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกจะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา แต่ปรากฏว่าในช่วงที่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล มีการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายก็ย่อมถูกตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรมได้
กรณีการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจึงอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีอาญา
ป.ป.ช.ไต่สวนและดำเนินคดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้
สอง การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูการผลิต แม้จะพบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ ข้าวสูญหาย ออกใบประทวนเท็จ ข้าวเสื่อมสภาพ ใช้เอกสารปลอม แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธาน กขช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ป้องกันตั้งแต่เริ่มเพื่อป้องกันความเสียหาย
กรณีความเสียหายจึงฟังไม่ได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้เกิดความเสียหาย
ยังฟังไม่ได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิบัติโดยทุจริตหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
สาม น.ส.ยิ่งลักษณ์รู้ว่าสัญญาการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ยับยั้งปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญา อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้สำหรับผู้อื่น
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
จึงมีมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ผิด
และมีมติ 9 ต่อ 0 เห็นควรให้ลงโทษจำคุก 5 ปี
ผลการพิจารณาคดีดังกล่าวไม่อยู่เหนือความคาดหมาย
ทั้งนี้ เพราะนับตั้งแต่การนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ไปตามนัด คล้ายกับรู้ว่าคดีนี้ต้องติดคุก
ตามข่าวที่ปรากฏ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นั่งรถเก๋งออกจากกรุงเทพฯไป อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม
จากนั้นมีข่าวว่าออกไปนอกประเทศ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ดูไบ
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ว่า ไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ทางดูไบขอร้องมิให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เคลื่อนไหวทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม สำนักงานข่าวต่างประเทศกลับระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์บินจากดูไบเข้าไปอังกฤษแล้ว
ประเทศอังกฤษเป็นชื่อประเทศแรกๆ เมื่อมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศ
เป็นประเทศที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอลี้ภัยทางการเมือง
ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้รับอนุมัติหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารจะต้องพบกับ ทักษิณ ชินวัตร คนที่สอง
ทักษิณ คนแรก โพสต์ข้อความทีไรก็เขย่าการเมืองไทยทุกครั้ง
หากยิ่งลักษณ์ กลายเป็นทักษิณ คนที่สอง
เท่ากับว่า ต่อไปจะมีอดีตนายกรัฐมนตรีที่สามารถเขย่าขวัญรัฐบาลเพิ่มขึ้น
จากชินวัตร 1 เพิ่มเป็น 2 ชินวัตร
แม้การเมืองไทยในเวลานี้ดูเหมือนว่า ฝ่ายต่อต้าน ทักษิณ ชินวัตร จะยึดพื้นที่ได้หมด
แต่อุปสรรคสำหรับฝ่ายต่อต้านทักษิณอย่างมากหนีไม่พ้นวิธีการในการยึดพื้นที่นี่เอง
อย่าลืมว่า ทักษิณและพรรคไทยรักไทย ยึดพื้นที่ทางการเมืองด้วยนโยบายประชานิยม และได้รับคะแนนเสียงจากการบริหารตามนโยบาย
อย่าลืมว่า ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย ก็ยึดพื้นที่ทางการเมืองคืนจากพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยนโยบายประชานิยม และคะแนนเสียงจากการบริหารตามนโยบาย
แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่
คล้ายกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ
แล้วทักษิณก็ออกตระเวนไปฟ้องโลก
แพร่ข่าวให้โลกรู้ว่า ประเทศไทยมีรัฐประหาร
จากผลพวงการรัฐประหารปี 2549 อาจทำให้หลังการรัฐประหารปี 2557 ปฏิกิริยาจากต่างชาติจึงรุนแรงกว่า
ใช้เหตุการรัฐประหารกดดันทางเศรษฐกิจ และใช้เหตุการรัฐประหารหาประโยชน์ทางการค้า
ผลพวงจากการรัฐประหารก่อเหตุรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อเกิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ตั้งองค์กรใหม่ และอื่นๆ ขึ้นมา
แต่เป็นการก่อเกิดขึ้นจากรากฐานของการรัฐประหาร
รัฐประหารจึงเป็นต้นทุนที่รัฐบาลชุดนี้และชุดต่อไปต้องแยกรับ
วันที่ 2 ตุลาคม พล.อ.ประยุทธ์ และคณะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อพบปะกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สังเกตกระแสเสียงของผู้คนในแวดวงการเมืองเศรษฐกิจ
พอจับเค้าแห่งความกังวลได้
กังวลว่าไทยจะเสียเปรียบในการเจรจา
ห่วงว่าไทยจะเสียเปรียบทางการค้า
อย่างน้อยผลพวงจากการรัฐประหารที่ก่อเกิดเป็นกฎหมายใหม่ ซึ่งจำกัดการอุทธรณ์คดีที่ต้องให้จำเลยมายื่นด้วยตัวเอง
อาจเป็นข้อคำถามในเรื่องสิทธิการพิสูจน์ความจริง
และกรณีตัวอย่างที่อาจต้องให้คำตอบก็หนีไม่พ้นกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ยังมีกระแสข่าวเรื่องการเลื่อนโรดแมปการเลือกตั้งที่ไทยจะต้องทำความเข้าใจกับโลก
ยังมีผลการวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศที่ส่งสัญญาณ“นายกฯคนนอก” มากกว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรค
และยังมีกระแสข่าวอื่นๆ ที่อาจเป็นเงื่อนไขของไทยในการติดต่อกับโลก
เป็นเงื่อนไขที่เสียเปรียบเมื่อนั่งโต๊ะเจรจา
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในการไล่จับ “ทักษิณ 1” หรือการผลักดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปเป็น “ทักษิณ 2”
หรือการผูกเงื่อนปมแห่งการรัฐประหารกับกฎหมายและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย
อันอาจเป็นเงื่อนไขที่เสียเปรียบเมื่ออยู่บนโต๊ะเจรจากับต่างชาติ
ทุกอย่างล้วนกระตุกให้หวนกลับมาทบทวนว่าวิธีการที่ใช้อยู่นี้ “มาถูกทาง” แล้วหรือไม่
วิธีการต่างๆ ที่รัฐบาลไทยพยายาม “เดินไปข้างหน้า” ทั้งที่ทำมาแล้ว และที่ตั้งใจจะทำ
แท้จริงแล้วจะเป็นการ “เดินหน้า” ได้จริงหรือไม่
แล้วจะ เดินหน้า ไปกันอย่างไร?