เปิดแฟ้มลับ โดย ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

แฟ้มภาพ

หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เขียนข้อความทางทวิตเตอร์ว่า จะไม่ขัดขวางการเปิดข้อมูลสอบสวนคดีลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือเจเอฟเค ในขบวนรถกลางฝูงชนเมื่อ 54 ปีก่อน เรื่องนี้ก็เป็นข่าวใหญ่ในอเมริกาขึ้นมา

คดีเจเอฟเคเมื่อปี ค.ศ.1963 หรือ พ.ศ.2506 มีรายละเอียดที่ยังเปิดเผยไม่หมด และแน่นอนว่าอะไรที่เป็นความลับ ย่อมจะน่าค้นหาหรือน่าคิดจินตนาการไปต่างๆ นานา

มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับคดีเจเอฟเค เพราะเป็นเหตุช็อกที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐ หลายคนไม่เชื่อว่านายลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ มือสังหารจะลงมือตามลำพังได้

กฎบัญญัติคดีเจเอฟเค 1992 หรือปี พ.ศ.2535 กำหนดว่าเอกสารคดีลอบสังหารเจเอฟเคทุกชนิดจะต้องเปิดเผยภายใน 25 ปีนับจากวันที่ 26 ต.ค.1992

Advertisement

เมื่อนับแล้ว วันที่ 26 ต.ค.2017 ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐต้องเผยแพร่เอกสารแฟ้มสอบสวนคดีลอบสังหารเจเอฟเค มาตกเอาในยุคท่านทรัมป์พอดี

กฎหมายที่เขียนไว้ 25 ปีก่อนให้สิทธิประธานาธิบดีในการใช้อำนาจยับยั้งได้ หากเห็นว่าเป็นภัยต่อการข่าวกรอง ปฏิบัติการทางทหาร การบังคับใช้กฎหมาย หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

แต่ท่านทรัมป์มักเซอร์ไพรส์อยู่เสมอ เรื่องที่ใครไม่คิดว่าจะทำ ทรัมป์กลับทำได้ ซึ่งคดีเจเอฟเคก็เช่นกัน ทรัมป์ประกาศว่าให้ปลดล็อกได้แล้ว

Advertisement

จากรายงานของนิวยอร์กไทมส์ บรรดานักวิชาการด้านการเมืองและประวัติศาสตร์ยินดีที่ทรัมป์ตัดสินใจเช่นนี้ แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวดูจะเปิดช่องว่า ถึงท่านทรัมป์จะต้องการให้เกิดความโปร่งใส แต่ยังมีโอกาสจะระงับการเปิดเอกสารบางส่วนอยู่ หากกระทบต่อความมั่นคงหรือการบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ

ความระทึกจึงอยู่ตรงนี้ว่าการเปิดแฟ้มข้อมูลครั้งนี้ จะเปิดแบบหมดไส้หมดพุงให้เลิกคาใจกันไป หรือจะเปิดพอประมาณ

ถ้าเป็นแบบแรก ก็มีผู้คาดหมายว่าจะได้ลบล้างทฤษฎีสมคบคิดออกไปบ้าง และไม่ต้องตั้งทฤษฎีใหม่ขึ้นมาอีก แต่ถ้าเป็นแบบหลังก็ต้องรอดูกันอีกยาว

เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการสหรัฐก็เพิ่งเปิดเอกสารราชการลับที่บารัค โอบามา ลงนามไว้ เกี่ยวกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซีย ในยุค 60 ช่วงสงครามเย็น

ข้อมูลดังกล่าวตอกย้ำถึงบทบาทของสหรัฐที่เข้าแทรกแซงกิจการภายในของอินโดนีเซีย และรู้เห็นถึงการไล่ฆ่าผู้ต้องสงสัยเป็นคอมมิวนิสต์อย่างมโหฬาร มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 5 แสนชีวิต โดยเฉพาะในปี 1965

ความอัปยศที่กล้าเปิดเผยออกมานี้ แม้จะมีผู้วิเคราะห์ไว้ก่อนแล้ว แต่ข้อมูลลับที่ซ่อนไว้นี้เพียงแต่การเปิดแฟ้มข้อมูลคือการยืนยัน

ถามว่าแล้วการเปิดข้อมูลอดีตมีประโยชน์อะไร คำตอบคงจะมีไม่น้อย โดยเฉพาะจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและเหล่านักประวัติศาสตร์ที่รณรงค์ให้เปิดเผยความจริงเพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับโลก

การแสดงตัวของสหรัฐว่าพร้อมจะโปร่งใสและกล้าเปิดเผยความจริง ย่อมดีกว่าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้ความจริงปรากฏจากแหล่งอื่น

หลังกรณีอินโดนีเซียแล้ว จึงน่าคิดว่าสหรัฐจะเปิดไฟล์ที่เคยเข้ามามีบทบาทปราบปรามคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยในยุค 70 ด้วยหรือไม่

………………..

ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image