สีจิ้นผิง กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ใครจะยิ่งใหญ่จริง : โดย สมหมาย ภาษี

การเปิดประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 19 ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ 5 ปีครั้ง เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ได้ฟังคำปราศรัยของผู้นำจีนสีจิ้นผิง ที่ปล่อยออกมาสู่ประชากรของจีน 1,374 ล้านคน และชาวโลกทั้งมวลแล้ว ทำให้อยากเปรียบเทียบกับบทบาทผู้นำสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าได้ทำให้ชาวโลกมองเห็นจุดเด่นจุดด้อยของผู้นำประเทศอภิมหาอำนาจทั้งสองว่าจะเป็นอย่างไร ในอนาคตข้างหน้าอีกไม่นาน และจะได้รู้กันเสียทีว่า ไผเป็นไผในโลกที่แสนจะบูดเบี้ยวใบนี้

จะขอกล่าวถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนว่า ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนมีนาคม 2560 บัดนี้ผ่านมาประมาณ 8 เดือนแล้ว มีเรื่องมีราวอะไรที่น่าสนใจบ้าง

ก่อนได้รับเลือกจากชาวอเมริกัน ทรัมป์ ได้หาเสียงโดยยกนโยบายหลักขึ้นมาชูหาเสียงอย่างโดดเด่นประการหนึ่ง คือนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ซึ่งตามข้อเท็จจริงในอดีต ทุกผู้นำของสหรัฐก็ดำเนินนโยบายนี้มาทั้งนั้น แต่ไม่ประกาศชัดแจ้ง

ถ้าพิจารณาดูจากนโยบายด้านต่างประเทศของสหรัฐที่เข้าไปดูแลประเทศต่างๆ ทั้งโลก เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการในประเทศต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นไปตามหลักขององค์การสหประชาชาติ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อรักษาความเป็นประชาธิปไตย เพื่อรักษาสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศนั้นๆ เป็นต้น แต่ลึกๆ ก็เพื่อดำเนินการให้ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องมาก่อนหรือต้องได้ผลประโยชน์ทั้งนั้น นอกจากรัฐบาลอเมริกันจะลงไม้ลงมือเองแล้ว การเข้าไปกำกับแทรกแซง หรือเข้าไปหาผลประโยชน์ในประเทศต่างๆ สหรัฐอเมริกายังใช้อิทธิพลของความเป็นประเทศใหญ่เข้าไปผลักดันให้ตนเองสามารถเข้าไปทำมาหากินและตักตวงผลประโยชน์ หรือให้มีการเพิ่มพลังการเข้าไปแข่งขันของคนอเมริกัน หรือบริษัทของอเมริกันได้ง่ายและมากขึ้นทุกภาคของโลก โดยผ่านองค์กรระหว่างประเทศที่องค์การสหประชาชาติจัดตั้งและสนับสนุน

Advertisement

ตัวอย่างเช่นการผลักดันให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเปิดประเทศเปิดประตูการค้าเสรี และเปิดช่องทางของสาขาบริการด้านต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อให้ชาติที่พัฒนาแล้วและที่มีความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจสูง เข้าไปค้าขายและทำมาหากินได้สะดวกยิ่งขึ้น

ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะมองเห็นว่า นโยบายการค้าเสรีที่ส่งเสริมให้นานาประเทศต้องปฏิบัติตามนั้น ทำไปทำมาอเมริกาชักจะเสียเปรียบ เพราะนโยบายนี้ทำให้ประเทศทั้งที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น ประเทศสิงคโปร์ และประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ไม่ว่าประเทศใหญ่อย่างประเทศจีน ประเทศเกาหลี ประเทศไต้หวัน รวมทั้งประเทศในกลุ่มอาเซียน อย่างไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ต่างก็ระดมผลิตสินค้าไปขายในตลาดที่ใหญ่และฟุ่มเฟือยในการบริโภคอย่างอเมริกา ไม่ว่าจะผลิตสินค้าของตนเอง ผลิตโดยร่วมทุนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ผลิตโดยอาศัยห่วงโซ่ของการป้อนชิ้นส่วนที่เรียกว่า Supply chain หรือโดยการรับจ้างผลิตจากนักอุตสาหกรรม หรือแบรนด์ดังๆ จากอเมริกา และยุโรป

เมื่อเห็นท่าไม่ดี ประธานาธิบดีทรัมป์ จึงชูนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศอื่นๆ ก็ต้องปรับกลยุทธ์ ที่จริงทุกประเทศก็ต้องให้ความสำคัญแก่ประชาชนของตนเป็นหลักเช่นกัน เมื่อประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างสหรัฐอเมริกาแสดงความเห็นแก่ตัว แสดงนโยบายชาตินิยมอย่างชัดแจ้งเช่นนี้ ก็แสดงว่าต่อไปจะพึ่งนโยบายการค้าเสรีอย่างเดียวไม่ได้แล้ว นโยบายและมาตรการในการกีดกันทางการค้าจะถูกนำมาใช้ใหม่ จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะสามารถปรับนโยบายของตนให้ทันกาลได้แค่ไหนเท่านั้นเอง

Advertisement

ในช่วง 8 เดือนนับถึงตุลาคม 2560 ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งผู้นำของประเทศ เขาดำเนินการทุกทางที่จะเน้นการทำการค้ากับประเทศทั่วทุกภูมิภาค ได้จัดให้มีการพบปะกับผู้นำของประเทศทั้งหลาย ในกลุ่มอาเซียนก็ได้เชิญผู้นำจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ไปพบปะพูดคุยกันแล้ว โดยเฉพาะไทยที่ว่าเราไม่เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย เพราะเราถูกปกครองโดยคณะนายทหารที่ยึดอำนาจมา ซึ่งวิธีนี้ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา เขามองเราเป็นประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีธรรมาภิบาล ไม่มีการเคารพในสิทธิมนุษยชนเหมือนที่ประเทศเขามี แต่เขาก็ยังเชิญผู้นำเราไปพูดคุยกัน และผู้นำของไทยและคณะก็ได้ไปมาแล้วเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ที่เขาเชิญไปไม่ใช่ไม่รังเกียจที่ประเทศเรายังเป็นเผด็จการ เพราะรัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เชิญไปเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการค้าของเขาเป็นสำคัญ นี่แหละนโยบาย America First เพราะฉะนั้นอย่าได้หลงภูมิใจว่าเขายอมรับเราแล้วแต่อย่างใด

การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวนี้ ทรัมป์ยังได้ทำอีกหลายอย่างตามมา ไม่ว่าการเตรียมยกเลิกข้อตกลงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างนาฟต้า (NAFTA) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก หรือการประกาศไม่เข้าร่วมในโครงการต่อต้านเรือนกระจก ซึ่งก็คือโครงการต่อต้านมลภาวะทางอากาศของโลก ที่เกิดมาจากประเทศอุตสาหกรรมเป็นตัวก่อขึ้นมานั่นเอง

เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทรัมป์ได้แสดงออกมาให้คนทั้งโลกได้เห็น คือการไม่อยากให้คนระดับล่างหรือระดับแรงงานจากต่างชาติเข้าไปทำงานในสหรัฐอเมริกา นอกจากไม่ชอบแล้วยังทำการผลักไสและห้ามบริษัทธุรกิจของสหรัฐรับเข้าทำงานอีกด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่แตกต่างไปจากเดิมมาก นโยบายที่ประเทศร่ำรวยพยายามช่วยเหลือเกื้อกูลประเทศยากจนแต่เดิมของสหรัฐอเมริกา กำลังเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

ในส่วนของการปฏิบัติตน การพูดจาของทรัมป์ ในฐานะผู้นำของประเทศมหาอำนาจ ทรัมป์ถูกประณามจากคนอเมริกันเอง ทั้งที่เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ และสื่อมวลชนส่วนใหญ่ว่าเป็นคนโผงผาง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ความคิดของตนเป็นใหญ่ และงี่เง่า ทำให้ขาดสติบ่อยครั้ง ซึ่งถ้าดูกันให้ลึกซึ้ง ศึกษาพื้นฐานของผู้นำของประเทศอื่นๆ ดูก็จะเข้าใจได้ดีว่า ทรัมป์ไม่ใช่ผู้นำที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะผู้นำที่มาจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาอย่างมาก หรือผู้นำที่เป็นทหารและได้ขึ้นมาจากอำนาจทหาร ส่วนใหญ่ไม่ว่าชาติใดในโลกจะมีลักษณะเช่นนี้แหละ

คราวนี้มาดูผู้นำจีนคนปัจจุบันที่ชื่อสีจิ้นผิง บ้าง ผู้นำคนนี้ก็ขึ้นมาด้วยอำนาจทหารที่คอยสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของจีนอยู่ตามระบอบการปกครองแบบจีน สีจิ้นผิงไม่เคยเป็นนายพล แต่ได้ทำงานไต่เต้ามาตามลำดับ ได้รับการเลือกตั้งโดยพรรคใหญ่ของจีนให้สืบทอดเป็นผู้นำมาถึงวันนี้ครบ 5 ปีแล้ว หรือเป็นผู้นำมาก่อนท่านนายกรัฐมนตรี คสช.เพียงหนึ่งปีครึ่ง หรือถ้า คสช.อยู่เป็นรัฐบาลจนครบตามโรดแมปจนมีการเลือกตั้งในประมาณเดือนพฤศจิกายน 2561 ก็จะมีเวลาบริหารประเทศเท่ากัน แน่นอนขณะนี้สีจิ้นผิงได้รับเลือกจากสภาปูลิตบูโรให้เป็นผู้นำต่ออีกสมัยหนึ่ง 5 ปี ลองมาดูสิว่าเขามีดีตรงไหน

จากการประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองใหญ่ของจีนเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา สีจิ้นผิง ในฐานะหัวหน้าพรรคและผู้นำประเทศได้กล่าวคำปราศรัยต่อสภานานถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งนับว่าใช้เวลานานมากสมกับเป็นชาติใหญ่และเป็นชาติมหาอำนาจ แต่ 3 ชั่วโมงครึ่งนั้นเต็มไปด้วยสาระสำคัญทั้งนั้น ไม่ใช่เต็มไปด้วยน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงเหมือนชาติเล็กทั่วไป ซึ่งในที่นี้จะขอนำสาระที่สำคัญมาเล่าให้ฟัง ฟังแล้วกรุณาอย่าคิดเปรียบเทียบกับของประเทศไทย เพราะคนละรุ่นกัน แต่จะขอให้คิดเปรียบเทียบกับประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ได้กล่าวปราศรัยต่อหน้าสมาชิกสภาร่วมห้าพันคนย้ำถึง “ความฝันของจีน” ที่เขาได้กล่าวไว้เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาย้ำให้เห็นถึงความฝันของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์คนก่อนๆ ที่สืบทอดกันมาในเรื่องเป้าหมายหนึ่งทศวรรษ 2 ประการของจีน คือ

ประการแรก มุ่งที่จะสร้างสังคมจีนที่มั่งคั่งระดับปานกลาง โดยการขจัดความยากจนให้ได้ภายในปี 2021 หรือในอีก 4 ปีข้างหน้า และจากนั้นภายในปี 2049 ซึ่งเป็นวันครบ 100 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็จะให้บรรลุเป้าหมาย

ประการที่สอง คือให้เปลี่ยนจีนทั้งประเทศให้เป็นชาติที่พัฒนาแล้วอย่างเต็มตัว ซึ่งหมายถึงการลดช่องว่างของความมั่งคั่งให้แคบลง พร้อมกันนั้นก็จะทำการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อถึงเวลานั้นในปี 2050 จีนทั้งชาติก็จะยืนสง่าเป็นมหาอำนาจผู้นำของโลก ภายใต้สังคมที่ทันสมัยและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนจีน

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้กล่าวว่า จีนจะเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจที่กำลังทำอยู่ให้เปิดกว้างยิ่งขึ้น จะทำการผลักดันให้ตลาดทุนและระบบการเงินเป็นไปตามกลไกตลาดมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้ให้คำมั่นที่จะปกป้องความชอบธรรมตามกฎหมาย และผลประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติอย่างเต็มที่

สิ่งสำคัญที่สีจิ้นผิงได้เน้น คือการมุ่งมั่นที่จะขจัดคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังโดยไม่หยุดหย่อนตลอด 5 ปีที่่ผ่านมา ภายใต้การนำของเขาสามารถที่จะทำการลงโทษข้าราชการภาครัฐทั้งหมดในเรื่องคอร์รัปชั่นรวมกันถึง 1.3 ล้านคน หรือเท่ากับ 0.1 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองจีนทั้งประเทศ นี่คือการปราบคอร์รัปชั่นที่ไม่ใช่ตั้งไว้เป็นนโยบายให้เห็นแล้วทำแบบปากว่าตาขยิบ หากนำอัตราการลงโทษข้าราชการคอร์รัปชั่นในอัตรา 0.1 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองของจีนในช่วง 5 ปี มาเทียบกับไทยที่มีพลเมือง 65 ล้านคน และมีการคอร์รัปชั่นล่าสุดที่สูงถึงอันดับ 101 ของโลก เทียบกับของจีนซึ่งอยู่อันดับที่ 79 ดีกว่าของไทย

ดังนั้น ประเทศไทยก็ควรที่จะต้องมีการลงโทษข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในเรื่องคอร์รัปชั่นให้ได้ในอัตรา 0.1 เปอร์เซ็นต์ของพลเมือง คือ 65,000 คน ใครที่สนใจเรื่องคอร์รัปชั่นในบ้านนี้เมืองนี้เคยคิดบ้างไหมว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราได้ลงโทษพวกคอร์รัปชั่นได้ถึง 5,000 คนไหม สำนักงาน ป.ป.ช.ช่วยตอบหน่อยครับ

ต้องขอประทานโทษ ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ฟังแล้วกรุณาอย่าคิดเปรียบเทียบกับของประเทศไทย แต่ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะมองข้ามตัวเราเองไปเฉยๆ เอาละครับ ต่อจากนี้ถ้าใครไม่อยากจะสนใจและไม่อยากฟังผู้นำของเราเอง ก็ขอให้จับตาดูทุกย่างก้าวของผู้นำชาติอภิมหาอำนาจระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับสีจิ้นผิงให้ดีก็แล้วกันนะครับว่า ใครจะยิ่งใหญ่จริง

สมหมาย ภาษี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image