•…การเมืองในภาพใหญ่ เดินเข้าสู่โหมด “เตรียมตัวเลือกตั้ง” ทั้งที่ “คสช.” จัดการมากว่า 3 ปี แต่คล้ายกับว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ลงตัว พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ “ยังจัดการให้เป็นไปอย่างที่ต้องการไม่ได้” หรือ “ยังไว้วางใจไม่ได้” ดังนั้นแม้ว่า “ความเหมาะควร” จะต้อง “ปลดล็อกพรรคการเมือง ให้นักการเมืองทำกิจกรรมเพื่อเตรียมตัวได้แล้ว” เนื่องด้วยถึงเวลาที่กฎหมายกำหนดวาระไว้ ทว่า “เสียงของผู้มีอำนาจ” ยังออกมาในความคิดที่ว่า “เลื่อนไปได้”
•…ทั้งที่กำหนดไว้เรียบร้อย ด้วยประกาศจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง ว่า “ประกาศวันเลือกตั้งเดือนสิงหาคม” แล้ว “จัดเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน” จากวันนี้ถึงวันนั้นคือ 1 ปีเต็มๆ อะไรต่อมิอะไรน่าจะลื่นฉลุย ตามกำหนดการ ทว่าคล้ายความไม่มั่นใจยังเต็มเปี่ยม คำถามคือเป็น “ความไม่มั่นใจจากอะไร” คำตอบที่ล่องลอยมาในสายลม เหมือนจะเป็นอื่นไปไม่ได้เลยนอกเสียจากหวั่นวิตกว่าจะ “เสียของ” เป็น “รัฐประหารที่เสียของอีกครั้ง” แม้ไม่บอกกันให้ชัดเจนว่า “เสียของจากอะไร” แต่คนที่ติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด ยอมมี “คำตอบอยู่ในใจ” ซึ่งเป็นคำตอบที่ “ผู้มีอำนาจ” รู้ดี
•…อย่างไรก็ตาม การยื้อเวลาออกไป “ปลดล็อกการเมือง” ออกไป ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เนื่องจาก เป็น “ปกติของอำนาจ” ที่ “ยิ่งใช้นาน ยิ่งอ่อนพลังลง” ไม่ว่าประเทศไหน “รัฐบาลที่อยู่มาถึง 4 ปี” ย่อมกระตุ้นความรู้สึก “อยากเปลี่ยนแปลง” คำถามถึง “ผลงาน” ทั้งในทางดี และทางลบ เริ่มเป็นไปอย่าง “เอาจริงเอาจังมากขึ้น” การใช้อำนาจกดดันให้ปกปิดบางอย่าง โหมประโคมบางเรื่อง เริ่ม “ใช้การได้ลำบาก” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เคย “หลบๆ ซ่อนๆ” เริ่มมี “ตัวหาญกล้า” ออกมาแสดงมากขึ้น
•…เห็นได้ชัดคือก่อนหน้านั้น “ตัวหาญกล้า” มีเพียงบางคนจาก “พรรคเพื่อไทย” บางคนจาก “นักวิชาการสายประชาธิปไตย” และ “บางคนจากนักเคลื่อนไหวที่จิตวิญญาณยืนหยัดอยู่กับความเท่าเทียมกันของประชาชน” แต่วันนี้ ขอบข่ายของ “ตัวหาญกล้า” ขยายออกไป “ตัวแสดงจากพรรคประชาธิปัตย์” เริ่มรำทวนมาหน้าเวทีทีละคน ทีละคน ยังมี “บางคนจากเครือข่ายคนกันเอง” ที่เริ่มแสดงตัวออกมาชี้ให้เห็น “ความเสื่อมทรุดบางอย่าง” และแน่นอน “ภาคประชาชน” เริ่มเห็นการก่อขบวนชัดเจนขึ้น เหล่านี้เป็นแรงกดดันไม่น้อย
•…ส่วนการเมืองระดับย่อยลงมา เข้าสู่โหมด “ปรับคณะรัฐมนตรี” เพื่อรักษาซึ่งต้องยอมรับว่า คือการยอมรับว่าเกิดจากปัญหา “ศรัทธาประชาชน” ยิ่งข่าวคราวเป็นไปในทาง “ปรับเอาคนนอกกองทัพเข้ามาเสริมกำลังมากขึ้น” ยิ่งทำให้ข้อสรุปในทางกลับที่เกิดการขยายคำถามไปถึง “ความสามารถของคนจากกองทัพ” และจุดนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวยิ่ง เนื่องจากที่ผ่านมา “คนจากกองทัพ” ไม่ใช่แค่เข้าไปกระจายอยู่ในฐานะ “เจ้ากระทรวงต่างๆ” แต่เลยไปถึงเข้าไป “ควบคุมการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ” แบบเต็มพื้นที่ ข้อวิจารณ์เรื่อง “ความสามารถในการบริหารของคนในกองทัพ” ย่อมลามไปทั่ว
•…ที่สำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว จะส่งผลต่อ “อนาคต” หากคาดหวังว่า “จะต้องควบคุมอำนาจต่อไปหลังเลือกตั้ง” เชื้อที่เกิดจากการวิพากษ์วิจารณ์นี้จะทำให้ “เกิดความอ่อนแอในศรัทธาความเชื่อถือ” และนั่นจะเป็นเหตุแห่ง “เสียของ” ที่จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
•…เพียงแต่ว่า “สถานการณ์ความเป็นจริงของประเทศ” โดยเฉพาะ “เศรษฐกิจระดับปากท้องชาวบ้าน” ที่ “ภาพซึ่งพยายามสร้างว่าดีงาม” เริ่มที่จะบดบังความเป็นจริงไว้ไม่ได้ขึ้นมาเรื่อยๆ จะทำให้ “เลือกทางอื่นได้ยาก” เพราะหากหวัง “ศรัทธาที่จะทำให้ก้าวต่อไปได้ในอนาคต” การปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้น จะต้องเป็นไปเพื่อความหวังนั้น ซึ่งหาก “จัดการไม่ตรงกับปัญหา” ผลที่จะตามมาย่อม “เสื่อมโทรมลงเร็วขึ้น” และวันนี้น่าจะเป็นคำตอบแล้วว่า “การบริหารประเทศมันจะยากอะไรนั้น” ไม่น่าจะจริง
•…เรื่องที่สะท้อน “ฉี่ไม่สะเด็ดน้ำ” เริ่มจากเสนอย้าย “ผู้ว่าฯชล” สลับกับ “ผู้ว่าฯสมุทรปราการ” ย้าย “ผู้ว่าฯนนท์” สลับกับ “ผู้ว่าฯนครสรรค์” พอถูกเสียงคัดค้านจากประชาชนสมุทรปราการ เลยหาทางออกให้ “ทุกคนอยู่ในตำแหน่งเดิม” แต่ให้ “ผู้ว่าฯชลกับผู้ว่าฯนนท์” ไปปฏิบัติหน้าที่สำนักนายกฯ แล้วให้ “รองผู้ว่าฯอาวุโสรักษาราชการ” ทั้ง “ชลบุรี” และ “นนทบุรี” เป็นจังหวัดที่งานซับซ้อน ประชากรมากมาย เป็น “พื้นที่เศรษฐกิจ” การจัดการควร “เด็ดขาด” จึงถูกตั้งคำถามว่า อะไรทำให้ทำได้แค่นั้น
ชโลทร