ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
ได้ยินข่าวผู้ว่าราชการจังหวัดตรังเชิญแกนนำชาวสวนยางไปพูดคุย เพื่อมิให้ยกขบวนกันเข้ากรุงเพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ช่วยเหลือราคายาง แล้วทำให้คิดถึงเรื่องเล่าที่เพิ่งได้ยิน
ได้ยินจากปากคนใต้!
ได้ยินแล้วทำให้เห็นใจกลุ่มคนที่พยายามเดินทางมาบอกความทุกข์ของเขาให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีฟัง
เรื่องเล่านั้นเป็นเรื่องปากท้อง
เรื่องมีอยู่ว่า ชาวสวนภาคใต้อาศัยรายได้จากยางพารา หรือไม่ก็ปาล์ม
เดิมนั้นราคายางพาราไม่สูง ขายยางพาราได้กิโลกรัมละไม่เท่าไหร่
แต่เงินที่ขายยางได้ไม่เท่าไหร่นั้นสามารถไปซื้อของได้เยอะแยะ
ขายยางได้ 1 กิโลกรัม สามารถไปซื้อปลาแดงได้ 1 กิโลกรัม
แต่ขณะนี้ชาวสวนยางขายยางได้กิโลกรัมละ 40 บาท จำนวน 40 บาท ต้องหาร 2 เพื่อแบ่งกับคนกรีด
ขณะที่ราคาปลาแดงพุ่งพรวด ทำให้ต้องขายยาง 3-4 กิโลกรัม ถึงจะมีเงินพอซื้อปลาแดง 1 กิโลกรัม
สถานภาพของชาวสวนยางกับชาวสวนปาล์มไม่แตกต่าง
ชาวสวนปาล์มก็มีปัญหาเรื่องค่าครองชีพ
จากเดิมที่ขายปาล์มได้กิโลกรัมละ 6 บาท ตอนนี้เหลือกิโลกรัมละ 3 บาท
รายได้ลด พอไปเจอกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น จึงกลายเป็นความทุกข์
เฉกเช่นเดียวกับชาวประมงที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเหล็ก เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากชาวยุโรปและอเมริกา
ต้องทำตัวเองให้ปราศจากข้อกล่าวหา “ค้ามนุษย์” ซึ่งเป็นแรงงานในเรือ
ไต้ก๋งหลายรายจึงต้องหลบลี้
เรื่องเล่าฟังแล้วจับความได้แค่นี้
เป็นเรื่องเล่าที่แตกต่างจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ได้อ่านพบ
เพราะหลายเดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางตัวเลขเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจโลกกระเตื้องทำให้การส่งออกไทยกระเตื้อง ส่งออกไทยกระเตื้องทำให้รายได้เข้าประเทศมีมากขึ้น
รายได้เข้าประเทศมากขึ้น ทำให้ตัวเลขจีดีพีเติบโต
ผนวกรวมกับตัวเลขการลงทุนภาครัฐแล้ว ดูเหมือนเศรษฐกิจไทยกำลังฉลุย
ล่าสุดมีการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็พบว่าเป็นบวกติดต่อกันมาหลายเดือน
ตัวเลขที่ปรากฏน่าจะทำให้ประชาชนคนไทยอิ่มหมีพีมันขึ้น
แต่ทำไมจึงเกิดเรื่องเล่าที่ดังมาจากภาคใต้
ทำไมยังมีความเคลื่อนไหวจากชาวสวนยางที่ขอเข้ากรุงมาบอกเล่า
มาเล่าความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่กับพวกเขา
เป็นทุกข์ของคนใต้
เป็นทุกข์จากปากท้องที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการขจัดให้หมดไป
……………
นฤตย์ เสกธีระ [email protected]