ความเป็นมาของอาบัติปาราชิก (7) ภิกษุใดยากจน ภิกษุนั้นต้องปาจิตตีย์ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเปรียบด้วยกองไฟใหญ่ ให้พระสาวกฟังความว่า
“ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุยอมตาย หรือรับทุกข์เจียนตาย เพราะนอนกอดกองไฟ ยังดีกว่าเป็นคนทุศีล ยอมให้เขาเอาเชือกหนังพันแข้งชักไปมา ให้มันบาดลึกจนถึงเยื่อในกระดูก ยังดีกว่าเป็นคนทุศีลแล้วยินดีการกราบไหว้ของประชาชน

ยอมให้เขาเอาแผ่นเหล็กลุกโชนนาบตัว ยังดีกว่าคนทุศีลยอมให้เขาเอาหอกแทงหว่างอก ยังดีกว่าเป็นคนทุศีลห่มจีวรที่ประชาชนถวายด้วยศรัทธา

ภิกษุยอมกลืนกินก้อนเหล็กแดงที่ลุกโชน ยังดีกว่าเป็นคนทุศีลกลืนกินข้าวของชาวบ้านชาวเมืองที่เขาถวายด้วยศรัทธา

ยอมนั่งบนเตียงตั่งเหล็กแดงลุกโชน ยังดีกว่าเป็นคนทุศีลใช้สอยเตียงตั่งที่ประชาชนถวายด้วยศรัทธา

Advertisement

ยอมให้เขาจับหัวห้อยลงต้มในหม้อโลหะร้อน ยังดีกว่าเป็นคนทุศีลอยู่ในวิหารที่ผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวาย”

หลังจากฟังพระดำรัสตรัสเทศนา ภิกษุบางพวกที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ก็กระอักเลือดอุ่นๆ ออกมา อีกจำนวนหนึ่งลาสิกขาไป อีกจำนวนหนึ่งที่มีศีลบริสุทธิ์ ก็ได้บรรลุมรรคผลตามควรแก่อุปนิสัยแห่งตน

อีกคราวหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสถึงพระมหาโจรว่าเป็นอันตราย ร้ายแรงกว่ามหาโจรทางโลก มี 5 จำพวกด้วยกันคือ

Advertisement

1.ภิกษุชั่วบางรูปรวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนมาก มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง จาริกไปตามบ้านนิคม ราชธานี มีคฤหัสถ์และบรรพชิตเคารพนับถือ มีจีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคจำนวนมาก ภิกษุนี้เรียกว่ามหาโจรประเภทที่หนึ่ง

2.ภิกษุชั่วบางรูปเรียนธรรมวินัยที่พระศาสนาตรัสสอนแล้ว โกหกคนอื่นว่ามิได้เรียนมาจากใคร ตนคิดค้นขึ้นเอง นี้เป็นมหาโจรประเภทที่สอง

3.ภิกษุชั่วบางรูปใส่ความเพื่อนพรหมจรรย์ด้วยกัน ผู้บริสุทธิ์ ด้วยข้อหาประพฤติผิดพรหมจรรย์อันไม่มีมูล นี้เป็นมหาโจรประเภทที่สาม

4.ภิกษุชั่วบางรูปถือเอาครุภัณฑ์ เช่น เตียงตั่ง เป็นต้น ไปสงเคราะห์คฤหัสถ์ นี้เป็นมหาโจรประเภทที่สี่

5.ภิกษุชั่วบางรูปอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน เช่น อวดว่าตนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน นี้เป็นมหาโจรประเภทที่ห้านับว่าเป็น “ยอดมหาโจร” เพราะบริโภคข้าวชาวบ้านด้วยอาการแห่งขโมย

ภิกษุทุศีล พระพุทธองค์เรียกว่า “พระเน่าใน” ข้างนอกดูดี เพราะจีวรแพรป่านอย่างดีหุ้มห่อไว้ แต่ข้างในเหม็นร้ายกาจ แม้จะอบสมุนไพรทำให้ผิวผุดผ่อง ทำนองให้คนรู้ว่าผุดผ่องเพราะแสงแห่งคุณธรรม แต่ก็ผ่องไปไม่นาน ใบหน้าหมองคล้ำขึ้นทุกวัน กลิ่นตุๆ โชยเตะจมูกแรงขึ้นทุกที

ภิกษุทุศีล บางครั้งพระพุทธองค์ตรัสว่า “พระหมกดาบในจีวร” อันหมายถึงซ่อนดาบไว้ในจีวร ใครเผลอเป็นเชือดดับดิ้น โดยเฉพาะดาบที่คอยเชือดเอาเงินทองของคนงมงายไปทีละนิดๆ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนเชือดก็ไม่มีเลือดเหลือแล้ว

ภิกษุทุศีล พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่ามหาโจรและยอดมหาโจร ที่มีพิษภัยร้ายกาจคือ มหาโจรประเภทที่ห้าคือพระโกหกมดเท็จ อวดอ้างว่าตนบรรลุคุณธรรมชั้นสูง สูงขนาดขึ้นไปจับมือถือแขนพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้

มหาโจร ประเภทที่ห้ากลุ่มแรกคือ เจ้ากูที่อยู่ริมฝั่งน้ำวัคคุมุทา เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง บิณฑบาตไม่พอฉัน เจ้ากูเหล่านี้ออกอุบายหลอกชาวบ้าน ว่าพระรูปนั้นเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ชาวบ้านหลงเชื่อนำข้าวปลาอาหารไปถวาย อยู่ดีสบายกันถ้วนหน้า

พระพุทธองค์ทรงทราบ ได้ตรัสตำหนิว่าพวกเธอประพฤติตนเยี่ยงมหาโจร หลอกต้มชาวบ้านกินไปวันๆ จึงทรงบัญญัติปาราชิกข้อที่ 4 ห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม

ทําไมทรงเรียกพระโกหกหลอกลวงว่ายอดมหาโจร เพราะมหาโจรธรรมดาเวลาเข้าปล้น ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นโจร บางครั้งกลัวเขาไม่รู้ โจรยังร้องบอกว่า “ไอ้เสือเอาวา” แต่มหาโจรในคราบผ้ากาสาวพัสตร์ ดูยังไงก็ดูไม่ออก กว่าจะรู้ว่าเป็นมหาโจร ก็ถูกปล้นจนหมดตัวแล้ว เหตุนี้แลพระพุทธองค์จึงตรัสว่าเป็น “ยอดมหาโจร”

เขามิได้ปล้นเฉพาะประชาชน หากปล้นพระธรรมคำสอน ปล้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ด้วย ปล้นเอาวัดเอาวามาตั้งบริษัท นำพระธรรมคำสอนมาเป็นสินค้าขาย จนร่ำรวยมหาศาล

เมื่อก่อนนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนกันมาว่า “พระงามที่จน คน (ชาวบ้าน) งามที่มี” เดี๋ยวนี้ทำไมมันกลับตาลปัตรปานนั้น ใครคนหนึ่งพูดตลกๆ ว่า เดี๋ยวนี้มีสิกขาบท (ศีล) ข้อใหม่เพิ่มเข้ามา ทำนอง “สิกขาบทนอกปาติโมกข์”

ผมถามว่าสิกขาบทว่าอย่างไร “ภิกษุใดยากจน ภิกษุนั้นต้องปาจิตตีย์” เขาว่า

ฤๅพระสมัยนี้กลัวต้องอาบัติปาจิตตีย์ จึงแข่งกันรวย ก็ไม่รู้สินะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image