พลั้งปาก เสียศีล ฤๅจะเป็น”ขาลง” ผู้นำทหาร-การเมือง

ถามว่า “ขาลง” เกิดขึ้นเพราะอะไร

เพราะมีคน “จ้องทำลาย-จ้องจับผิด”

หรือเพราะความผิด พลาด พลั้ง เผลอของตัวเอง

ไม่ว่าจะโดยความจงใจ

Advertisement

ไม่ว่าจะโดยการขาด “บรีฟวิ่ง” ที่ดี

ไม่ว่าจะโดยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในขณะนั้นก็ดี

สุดท้ายเมื่อผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นลบมากกว่าบวก

Advertisement

ที่เคยแข็งกร้าว ที่เคยยืนกราน

ก็อ่อนยวบลง ก็ต้องเอ่ยปากขอโทษ-เสียใจ

ทั้งหมดเพื่อมิให้ “เสียการเมือง”

ทั้งหมดเพื่อมิให้ “อัตราเร่ง” ของภาวะขาลงเพิ่มขึ้น

เพิ่มขึ้นจนยากจะหยุดยั้ง

ลองพิจารณา

หลังครอบครัวของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1

ออกมาแถลงข่าวการเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำ

และอวัยวะภายในของผู้ตายถูกควักล้วงออกไป

โดยมิได้มีการแจ้งให้ครอบครัวทราบ

ในชั้นต้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตอบข้อถามในเรื่องดังกล่าวว่า

“ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเขาเอง ไม่มีการซ่อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย

และเชื่อว่าทาง ร.ร.ไม่ได้ปิดบังข้อมูล”

เมื่อถามว่าหากเด็กสุขภาพไม่ดี ทำไมถึงเข้าเรียน ร.ร.เตรียมทหารได้

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครก็มีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้ว แต่อาจมาเป็นช่วงตอนเข้าเรียน

ซึ่งเด็กเป็นโรคฮีตสโตรก

“ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น ผมคิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน

ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน เช่น วิดพื้น วิ่ง สก๊อตจัมพ์ ไม่ต้องถูกตัวกัน

ที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น เพราะเขาเป็นโรคฮีตสโตรก

ใครจะไปรู้ว่าลูกเขามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

การซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

เมื่อถามต่อว่า หากการซ่อมเกินกำลังคนจะรับได้ จะทำอย่างไร

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า

“ผมก็เคยโดนซ่อมจนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย”

เมื่อถามอีกว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร

เราเอาคนที่เต็มใจ

คําสัมภาษณ์ “เรียกแขก” ชิ้นนี้

มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงส่งยิ่ง

เพราะคำวิจารณ์ทางลบ

ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายใด

จนทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องออกมาเอ่ยปาก “ขอโทษ” ต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา

คล้ายคลึงกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อเดินทางลงไปประชุม ครม.สัญจร ที่ภาคใต้

และเกิด “ปะทุอารมณ์” ขึ้นเสียงใส่ นายภรัณยู เจริญ

ชาวประมงจากจังหวัดปัตตานี ที่มาร้องเรียนปัญหาการทำกิน

ว่า “อย่ามาส่งเสียงกับผม เข้าใจหรือเปล่า ผมฟังคุณอยู่ พูดดีๆ ก็ได้”

เป็นปะทุอารมณ์ที่สำนักข่าว-หนังสือพิมพ์พร้อมเพรียงกันใช้คำว่า

ตะคอก-ตวาด

เช่นเดียวกับปฏิกิริยาจากโลกเสมือน

ที่พร้อมใจกันวิจารณ์การแสดงออกของนายกรัฐมนตรี

ชนิดเป็นลบมากกว่าเป็นบวก

จนกระทั่งทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ต้องโพสต์เฟซบุ๊กในวันถัดมา

ว่านายกรัฐมนตรี “เสียใจ” ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

เพื่อทุเลากระแสลง

แต่กระแสจะทุเลาได้หรือไม่ยังสงสัย

เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ที่มีการจับกุมแกนนำชุมนุมประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จำนวน 16 คน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ก็สาดน้ำมันเข้ากองเพลิง

ด้วยการระบุว่า

หนึ่งในแกนนำที่ตกเป็นข่าวว่าถูกจับกุมนั้น

ไม่ได้ถูกฝ่ายทหารควบคุมตัวไว้

แต่อาจจะ “หนีไปเที่ยวกับผู้หญิง”

เป็นคำสัมภาษณ์ที่ “เรียกแขก” ได้ไม่แพ้รุ่นพี่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา

เพราะปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับ เป็นไปในทางลบต่อผู้พูดทั้งสิ้น

คำถามก็คือ

ในสถานการณ์ที่งานก็ “งอม” ถึงขั้นต้องมีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่

การขยันปั่นเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

ด้วยทัศนคติ ท่าที และวาจา อันไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลเอง

จะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นต่อไป

และจะสั่งสมไปจนถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image