ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ถามว่า “ขาลง” เกิดขึ้นเพราะอะไร
เพราะมีคน “จ้องทำลาย-จ้องจับผิด”
หรือเพราะความผิด พลาด พลั้ง เผลอของตัวเอง
ไม่ว่าจะโดยความจงใจ
ไม่ว่าจะโดยการขาด “บรีฟวิ่ง” ที่ดี
ไม่ว่าจะโดยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในขณะนั้นก็ดี
สุดท้ายเมื่อผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นลบมากกว่าบวก
ที่เคยแข็งกร้าว ที่เคยยืนกราน
ก็อ่อนยวบลง ก็ต้องเอ่ยปากขอโทษ-เสียใจ
ทั้งหมดเพื่อมิให้ “เสียการเมือง”
ทั้งหมดเพื่อมิให้ “อัตราเร่ง” ของภาวะขาลงเพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้นจนยากจะหยุดยั้ง
ลองพิจารณา
หลังครอบครัวของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1
ออกมาแถลงข่าวการเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำ
และอวัยวะภายในของผู้ตายถูกควักล้วงออกไป
โดยมิได้มีการแจ้งให้ครอบครัวทราบ
ในชั้นต้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตอบข้อถามในเรื่องดังกล่าวว่า
“ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเขาเอง ไม่มีการซ่อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย
และเชื่อว่าทาง ร.ร.ไม่ได้ปิดบังข้อมูล”
เมื่อถามว่าหากเด็กสุขภาพไม่ดี ทำไมถึงเข้าเรียน ร.ร.เตรียมทหารได้
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครก็มีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้ว แต่อาจมาเป็นช่วงตอนเข้าเรียน
ซึ่งเด็กเป็นโรคฮีตสโตรก
“ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น ผมคิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน
ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน เช่น วิดพื้น วิ่ง สก๊อตจัมพ์ ไม่ต้องถูกตัวกัน
ที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น เพราะเขาเป็นโรคฮีตสโตรก
ใครจะไปรู้ว่าลูกเขามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
เมื่อถามต่อว่า หากการซ่อมเกินกำลังคนจะรับได้ จะทำอย่างไร
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า
“ผมก็เคยโดนซ่อมจนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย”
เมื่อถามอีกว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร
เราเอาคนที่เต็มใจ
คําสัมภาษณ์ “เรียกแขก” ชิ้นนี้
มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงส่งยิ่ง
เพราะคำวิจารณ์ทางลบ
ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายใด
จนทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องออกมาเอ่ยปาก “ขอโทษ” ต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา
คล้ายคลึงกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อเดินทางลงไปประชุม ครม.สัญจร ที่ภาคใต้
และเกิด “ปะทุอารมณ์” ขึ้นเสียงใส่ นายภรัณยู เจริญ
ชาวประมงจากจังหวัดปัตตานี ที่มาร้องเรียนปัญหาการทำกิน
ว่า “อย่ามาส่งเสียงกับผม เข้าใจหรือเปล่า ผมฟังคุณอยู่ พูดดีๆ ก็ได้”
เป็นปะทุอารมณ์ที่สำนักข่าว-หนังสือพิมพ์พร้อมเพรียงกันใช้คำว่า
ตะคอก-ตวาด
เช่นเดียวกับปฏิกิริยาจากโลกเสมือน
ที่พร้อมใจกันวิจารณ์การแสดงออกของนายกรัฐมนตรี
ชนิดเป็นลบมากกว่าเป็นบวก
จนกระทั่งทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ต้องโพสต์เฟซบุ๊กในวันถัดมา
ว่านายกรัฐมนตรี “เสียใจ” ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
เพื่อทุเลากระแสลง
แต่กระแสจะทุเลาได้หรือไม่ยังสงสัย
เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ที่มีการจับกุมแกนนำชุมนุมประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จำนวน 16 คน
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ก็สาดน้ำมันเข้ากองเพลิง
ด้วยการระบุว่า
หนึ่งในแกนนำที่ตกเป็นข่าวว่าถูกจับกุมนั้น
ไม่ได้ถูกฝ่ายทหารควบคุมตัวไว้
แต่อาจจะ “หนีไปเที่ยวกับผู้หญิง”
เป็นคำสัมภาษณ์ที่ “เรียกแขก” ได้ไม่แพ้รุ่นพี่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา
เพราะปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับ เป็นไปในทางลบต่อผู้พูดทั้งสิ้น
คำถามก็คือ
ในสถานการณ์ที่งานก็ “งอม” ถึงขั้นต้องมีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่
การขยันปั่นเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
ด้วยทัศนคติ ท่าที และวาจา อันไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลเอง
จะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นต่อไป
และจะสั่งสมไปจนถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่