ใกล้จะเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวปีใหม่แล้ว โดยตลอดเดือนธันวาคมนี้ ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางขึ้นเหนือเพื่อสัมผัสอากาศหนาวเย็น และบรรยากาศป่าเขาที่เขียวขจีงามตา
ยิ่งช่วงท้ายปีต่อเนื่องถึงเทศกาลปีใหม่ ไม่ต้องพูดถึงว่า นักท่องเที่ยวทั่วประเทศจะเต็มแน่นในเมืองท่องเที่ยวภาคเหนือขนาดไหน
โรงแรมที่พัก ตั๋วรถ ตั๋วเครื่องบิน ถ้าใครยังไม่ได้จองล่วงหน้าในวันนี้ ก็น่าจะหาได้ยากลำบากแล้ว
แต่พอนึกถึงสภาพการเดินทางในเทศกาลท่องเที่ยว ก็แทบจะหมดสิ้นความสุข
เราคงจะได้พบกับภาพเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับบ้านเรา
รถทัวร์ รถไฟไทย เครื่องบิน เต็มล้น อลหม่านวุ่นวาย แทบจะขี่คอกันไป
ถนนสายหลักๆ ที่ออกจาก กทม. เต็มไปด้วยรถราของชาวบ้านที่ไปติดขัดยาวเหยียด ใช้เวลาจากไม่กี่ชั่วโมงกลายเป็นแทบเต็มวัน
นี่ถ้าโครงการรถไฟความเร็วสูง ไม่ถูกล้มด้วยเกมทำลายล้างทางการเมือง ก็คงจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่ปี 2556 ป่านนี้ก็ไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว
ด้วยรถไฟความเร็วสูง จะเป็นระบบขนส่งมวลชนที่นำผู้โดยสารจำนวนมากในแต่ละเที่ยว เดินทางไปได้ยาวไกลในเวลาอันสั้นกระชับ
แถมการเกิดของสถานีในเมืองใหญ่ๆ ตลอดเส้นทาง หมายถึงการกระจายการสร้างงานให้ประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ไม่ต้องมากระจุกกันในเมืองหลวงเพียงแหล่งเดียวอีกต่อไป
ลดปัญหาผู้คนหลายล้านที่แห่กันออกจาก กทม. และแห่กลับเข้ามาหลังจบเทศกาลลงไปได้
แต่ก็นั่นแหละ ปัญหาการต่อสู้ทางการเมือง โดยไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้บ้านเมืองเราชะงักงันไปหมดทุกด้าน หลายปีมาแล้ว และไม่รู้ว่าจะเดินหน้าใหม่ได้เมื่อไร
แถมทุกวันนี้มีแต่ยิ่งถอยหลัง
ระยะนี้สังคมไทยเรากำลังสยองขวัญกับปัญหาเรื่องรถราอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
ภายใต้สภาพการจราจรอันแออัด เช่น ใน กทม. และเมืองใหญ่ๆ เช่น พัทยา ที่เพิ่งเกิดเหตุ คนป่วยโรคลมชักขับรถชนวินาศสันตะโรกลางเมือง
ทำให้คนตายและเจ็บจำนวนมาก ทรัพย์สินรถของผู้อื่นเสียหายมากมาย
แถมมีตัวเลขบอกว่า มีผู้ป่วยโรคนี้ในบ้านเรานับล้าน และในจำนวนนี้นับแสนที่มีใบขับขี่
เลยผวากันไปทั่ว ว่าระหว่างขับรถในเมืองที่รถติดหนักๆ จะมีรถคันไหนที่จู่ๆ ผู้ขับขี่เกิดอาการกำเริบ แล้วพุ่งชนแหลกลาญหรือไม่
เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเหตุแบบนี้มาแล้ว เชื่อว่าน่าจะต้องมีอีกต่อไป
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหารือกัน ทั้งกรมขนส่งทางบก ตำรวจจราจร กรมการแพทย์ที่มีข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งไม่แค่โรคลมชัก ยังมีอีกหลายโรคที่อาจเกิดปัญหาควบคุมการขับขี่ไม่ได้อย่างกะทันหัน
พร้อมๆ กับเรียกร้องถึงผู้ป่วยโรคเหล่านี้ ควรงดขับขี่รถดีกว่า ไม่งั้นอาจมีโอกาสก่อเหตุร้ายแรงต่อผู้อื่น ตัวเองก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก
แต่ทางแก้ที่สำคัญสุดคือ ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่ดี สมบูรณ์พร้อม
จะลดจำนวนรถส่วนตัวบนท้องถนนในทุกเมืองไปได้อย่างแท้จริง
ส่งให้ผู้เจ็บป่วยที่พร้อมจะก่ออันตรายต่อผู้อื่นบนท้องถนน ไปใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนได้
ในสภาพที่ทุกวันนี้ เรายังไม่พัฒนาก้าวหน้าไปไหน ยังมีชื่อเสียงติดอันดับโลกในด้านรถติดหนัก
ทุกคนไม่ว่าปกติหรือป่วย ไม่มีทางเลือกมากนัก ก็ต้องใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงกันต่อไป
……………….
สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน