จากปรากฏการณ์ ‘ตูน บอดี้สแลม’ ถึงเวลาคนไทยก้าวคนละก้าว เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยหรือยัง : โดย ดร.ชาติชาย มุกสง

พลันที่ตูน บอดี้สแลม ตัดสินใจออกวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อหารายได้ซื้อเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาลศูนย์ 11 แห่งทั่วประเทศ

สังคมไทยตกอยู่ในกระแสการวิ่งของพี่ตูนอย่างเห็นได้ชัดเจน และเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความเคลื่อนไหวที่มีการวิ่งครั้งนี้อยู่ในศูนย์กลางของข่าว ใครๆ ต่างก็อยากเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นข่าวด้วย

แต่หากมองปรากฏการณ์ตูนอย่างพินิจพิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจสังคมไทยในห้วงเวลานี้ ก็ต้องถอดรหัสสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นถึงปัจจุบันและอนาคต

อย่างแรกที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ความแตกแยก/ขัดแย้งของคนไทยยังมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน การวิพากษ์ตูนที่ถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากฝ่ายที่สนับสนุนก็ชี้ให้เห็นว่า การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นหรือแสดงเหตุผลด้วยความอดกลั้นต่อความคิดเห็นที่แตกต่างยังไม่กลับสู่ภาวะปกติหลังตกอยู่ในความขัดแย้งเป็นเวลานาน

Advertisement

ดูจากใครวิจารณ์ตูนก็โดน ใครเห็นด้วย เข้าร่วม ชื่นชม ก็เป็นคนดีไปด้วย ไม่ได้แยกแยะว่าคนธรรมดามีผิดมีถูกกันได้ แต่ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผล

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ก้าวคนละก้าวของพี่ตูนได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างมากจากคนไทย น่าจะเป็นเรื่องของความหวังและความต้องการวีรบุรุษที่สังคมต้องการจะมีตลอดมา เพื่อความเชื่อมั่นถึงการดำรงอยู่ของสังคม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความหวังความเชื่อมั่นของสังคมไทยพังทลายลงไปหมด คนหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย สถาบันหลัก สถาบันเก่าๆ ของสังคมไทย พังทลายกลายเป็นสิ่งที่หวังไม่ได้

Advertisement

ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทางการเมือง นักการเมือง ที่เคยนำพาชาติ หรือสถาบันทางสังคมวัฒนธรรม เช่น พุทธศาสนา พระชื่อดังกลายเป็นผู้ชี้แนวทางจิตวิญญาณในสื่อกันไปหมด แต่ไม่มีทางออกให้กับผู้คน

ประกอบกับความสิ้นหวังจากความขัดแย้งรุนแรงที่สุมเร้าสังคมไทยมาหลายปี และความเศร้าหมองที่สูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยไปเมื่อปีกลาย

ในห้วงที่สังคมกำลังสิ้นหวัง ไม่มีใครลงมือทำอะไรเพื่อส่วนรวมจริงจัง ไม่มีใครคิดหาหนทางให้สังคมไทยดีขึ้น

เมื่อคนธรรมดาตัวเล็กๆ แม้จะมีชื่อเสียงในฐานะนักร้องขวัญใจวัยรุ่นอย่างตูน บอดี้สแลม ลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อส่วนรวม ทำสิ่งที่สังคมสมัยนี้โหยหา นั่นคือทำความดีเพื่อคนอื่นโดยบริสุทธิ์ใจ

จึงทำให้คนธรรมดาร่วมสังคมคนอื่นๆ รู้สึกว่าชีวิตต้องมีความหวัง ที่คนตัวเล็กๆ ทุกคนจะช่วยกันฟื้นความหวังของสังคมไทยได้ ปรากฏการณ์ตูนฟีเวอร์ถึงเกิด

เอาเข้าจริงน่าคิดว่า คนธรรมดาเหล่านี้ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับตูน ทั้งสนับสนุนให้กำลังใจ ร่วมวิ่ง ร่วมบริจาค เกิดขึ้นจากกระแสสื่อโหมกระพือ หรือการตระหนักถึงพลังศักยภาพของคนธรรมดาที่จะทำสิ่งนี้เพื่อส่วนรวม เพื่อสังคมไทยในอนาคตตลอดไปหรือไม่

จะช่วยกันเสียภาษีมรดกหรือภาษีทรัพย์สินที่ก้าวหน้าเป็นธรรมต่อคนส่วนรวม เพราะตระหนักว่าตนมีมากกว่าคนอื่นเลยต้องรับผิดชอบสังคมมากกว่าตามศักยภาพต่อไปในชีวิตประจำวันในอนาคตข้างหน้าหรือไม่

ที่น่าคิดอีกอย่างคือ เราทุกคนที่เห็นด้วยหรือเข้าร่วมกับตูน จะเห็นในพลังของคนธรรมดาตัวเล็กๆ ของตนเอง ที่สามารถช่วยกันคนละไม้ละมือ ช่วยกันก้าวคนละก้าวเพื่อสังคมไทยแค่ไหน

หรือแค่รอให้มีพระเอกขี่ม้าขาวแบบตูนวิ่งมาช่วยอยู่ร่ำไป โดยไม่รู้จักรวมพลังคนเล็กๆ ของตนเปลี่ยนแปลงสังคมเสียที

รอแต่จะมีคนดี มีคนวิเศษ เป็นคนเหนือคนสักคนมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวนำหน้า หรือจะรวมพลังกันเป็นแค่กองแห่/กองเชียร์ให้กับคนอื่น พอแห่เสร็จแล้วก็จบกันไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในกอไผ่

เราก็จะไม่มีพลังจะเปลี่ยนแปลงสังคม หรืออาจจะหันกลับไปด่า ไปเกลียดชังกับคนที่ไม่เข้าข้างเรา ไม่เห็นด้วยกับเรา หรือกับคุณค่าที่เราตัดสินว่าดีกันต่อไป

ไม่ได้ตระหนักถึงพลังคนเล็กๆ ที่จะช่วยกันก้าวคนละก้าวอย่างแท้จริงให้สังคมไทยก้าวพ้นหลุมดำแห่งความขัดแย้งเกลียดชัง ที่ครอบงำสังคมไทยมาจนสังคมถอยหลังลงทุกวัน

ไม่ยอมเปิดใจรับฟังความหลากหลายแตกต่างทางความคิดที่จะนำพาสังคมไปข้างหน้า ไปสู่การถกแถลงอย่างอดกลั้นต่อความเห็นต่าง เพื่อหาฉันทามติอย่างสันติสุข และค้นหาทางออกที่ก้าวหน้าไปด้วยกัน สังคมจำเป็นจะต้องมีตัวเลือกที่หลากหลายในการเผชิญความซับซ้อนมากขึ้นของปัญหาประเทศในอนาคต

ก้าวนั้นแหละที่อยากให้ทุกคนช่วยกันก้าวคนละก้าวจริงๆ เพื่อสังคมไทยยั่งยืน

ดร.ชาติชาย มุกสง
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image