มีการกำหนดให้วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2561 เป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งรัสเซียครั้งที่ 6 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน วัย 65 ปี ผู้นำรัสเซียที่ดำรงตำเเหน่งมายาวนานตั้งเเต่ปี 2543 ประกาศจะลงเลือกตั้งเพื่อป้องกันตำเเหน่งอีกครั้ง การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้านี้มีแนวโน้มว่าประธานาธิบดีปูติน จะได้รับเสียงสนับสนุนถึงร้อยละ 80 เเละชนะศึกเลือกตั้งอย่างง่ายดายเนื่องจากคู่แข่งคนสำคัญๆ ของปูตินมี 3 คน ซึ่งแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่ไม่มีทางที่จะสู้ปูตินได้เลย เนื่องจากเป็นคนแก่อายุเกิน 70 แล้วถึง 2 คน และแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีมาแล้วคนละ 4 ครั้ง และอีกคนหนึ่งเป็นสตรีอายุเพียง 36 ปี ที่ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีเป็นครั้งแรกซึ่งนับว่าเป็นเด็กเกินไปที่จะเป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดในโลกได้
คู่แข่งคนสำคัญคนแรกเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ชื่อนายเกนนาดี ยูการอฟ ผู้เป็นคู่แข่งคนสำคัญผู้จะลงแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 5 ก็มีอายุถึง 73 ปีแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือนายวลาดิมีร์ กีรีนอพสกี
หัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย อายุ 71 ปี ก็แพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีมาแล้ว 4 ครั้งเช่นกัน สำหรับคู่เเข่งคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือ น.ส.สเยนียา ซับชาก ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์สาวสวยชื่อดังของรัสเซียก็ยังได้รับความนิยมไม่เพียงพอ เนื่องจากอายุน้อยมากและไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศเลยนั่นเอง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียปีหน้าจึงไม่มีปัญหาอะไร หากปูตินชนะเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้ปูติน
ครองอำนาจติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4 ในวาระ 6 ปี จนถึงปี 2567 ซึ่งตอนนั้นปูตินก็จะมีอายุ 72 ปี และไม่สามารถลงรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญรัสเซียกำหนดไว้ว่า ผู้ใดจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 2 สมัยติดต่อกันไม่ได้ โดยปูตินก็ได้ปฏิบัติตามมาแล้วโดยให้นายดมีตรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซียคนปัจจุบันผู้เป็นเพื่อนรุ่นน้องเรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเดียวกันลงสมัครเป็นประธานาธิบดีคั่นกลางใน พ.ศ.2551 ด้วยการสนับสนุนจากฐานเสียงของปูตินทำให้เมดเวเดฟชนะเลือกตั้งด้วยเสียงกว่า 70.28% ของจำนวนผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เมื่อนายเมดเวเดฟได้เป็นประธานาธิบดี เขาก็แต่งตั้งปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ตัวเมดเวเดฟถูกมองว่าเป็นเสมือนหุ่นเชิดของปูติน เมื่อเมดเวเดฟดำรงตำแหน่งครบวาระใน พ.ศ.2555 ปูตินก็กลับมาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง เมื่อปูตินเป็นประธานาธิบดีครั้งที่สองแล้ว ก็ตั้งเมดเวเดฟเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ถูกเรียกขานกันว่าการเข้ารับตำแหน่งของทั้งสองในครั้งนั้นว่าเป็น “การสลับตำแหน่ง”
ครับ ! แต่ปัจจุบันนี้ได้เริ่มมีการรณรงค์ต่อสู้กันที่จะเป็นทายาทสืบทอดอำนาจต่อจากปูตินใน 6 ปีข้างหน้าอย่างจริงจังแล้ว แต่เป็นลักษณะแบบคลื่นใต้น้ำซึ่งได้โผล่ขึ้นสู่สาธารณะหลายเรื่องแล้ว โดยรวมถึงการไม่ต่อใบอนุญาตให้แก่มหาวิทยาลัยยุโรปที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่มีชื่อเสียงของรัสเซียต้องปิดตัวลง เนื่องจากพวกชาตินิยมหัวเก่าของรัสเซียชิงชังทั้งๆ ที่ปูตินสนับสนุนให้ได้รับการต่อใบอนุญาตถึง 3 ครั้งแล้วก็ตาม และการเริ่มดำเนินคดีคอร์รัปชั่นกับอดีตรัฐมนตรีคลังที่ถูกล่าวหาว่ารับสินบนจากอดีตสาย
ลับเคจีบีผู้ใกล้ชิดกับปูติน โดยทั้งสองกรณีนี้จะไม่มีทางเปิดเผยต่อสาธารณะได้เลยในปีก่อนๆ หน้านี้
นายคอนแสตนติน กราเซ นักวิชาการประจำศูนย์
คาเนกี มอสโก วิจารณ์ว่าไม่มีทางที่จะซ่อนความตึงเครียดที่มีอยู่อย่างมหาศาลในหมู่ชนชั้นนำวงในรัสเซียซึ่งจะมีการแบล๊กเมล์กันเอง และเขียนรายงานกล่าวหากันเองเพื่อฟ้องคนอื่นให้กับปูติน
ส่วนนายคอนแสตนติน คลัสชยอฟ หัวหน้ากลุ่มเชี่ยวชาญทางการเมืองที่ให้คำปรึกษากับรัฐบาลรัสเซียเป็นครั้งคราววิเคราะห์ว่า ปูตินต้องไม่อยากจะอยู่เป็นประธานาธิบดีตลอดชีวิตเหมือนนายโรเบิร์ต มูกาเบ
ผู้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศซิมบับเวอยู่ถึง 37 ปี และถูกรัฐประหารไล่ออกจากตำแหน่งยามแก่หง่อม อายุ 93 ปี แต่การลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีใน พ.ศ.2567 นั้น ปูตินคงยังต้องรักษาอำนาจทางการทหารและความมั่นคงไว้อย่างแน่นอนเพื่อรักษาอิทธิพลทางการเมืองของเขาไว้
นายกราเซย้ำว่า “ปูตินไม่มีทางที่จะสละอำนาจทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไขแน่นอน เพราะปูตินรู้ว่าหากทายาททางการเมืองของเขาล้มเหลวเขาต้องถูกคิดบัญชีแน่นอน
บรรดาผู้ที่ต้องการชิงตำแหน่งทายาททางการเมืองของปูตินเพื่อเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปอีก 7 ปีข้างหน้า จำเป็นต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีต้องระวังตัวไม่ให้กลายเป็นผู้เลื่อยขาเก้าอี้ของปูติน
หรือเป็นผู้ที่ป้องกันตำแหน่งให้กับปูตินจนเกินงาม เพราะอาจถูกกำจัดออกไปได้ง่ายๆ จากทั้งตัวปูตินเองและจากบรรดาคู่แข่งคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเอง
