ปณิธานปีใหม่ของซัคเกอร์เบิร์ก โดย : ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

ขึ้นปีใหม่แบบนี้ หลายคนคงตั้งปณิธานว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไรบ้าง บางคนอาจตั้งว่าจะลดน้ำหนัก บางคนอาจตั้งว่าจะอ่านหนังสือ หรือท่องเที่ยวให้มากขึ้น ในปัจจุบันการติดตามผลว่าปณิธานปีใหม่ของเราสำเร็จไหม ทำได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน เรามีแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถืออย่างเช่น Streaks ที่จะคอยนับว่าเราทำสิ่งที่สัญญาไว้ได้ติดกันมากน้อยแค่ไหน หรือหากเป็นปณิธานเกี่ยวกับสุขภาพ เราก็มีแอพพลิเคชั่นที่จะคอยช่วยบันทึกทั้งน้ำหนัก ทั้งมวลกล้ามเนื้อ เวลานอนหลับ แคลอรี่ที่กินในแต่ละวัน ฯลฯ หรือหากไม่ใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อช่วยเหลือเลย โซเชียลมีเดียเองก็เป็นทางหนึ่งที่อาจทำให้เราบรรลุเป้าหมายปีใหม่ได้ง่ายขึ้น บางคนใช้วิธีอัพสเตตัสเพื่อบอกว่าปีนี้ตัวเองจะทำอะไร (เพื่อให้เพื่อนๆ ช่วยตรวจสอบให้) บางคนก็อาจใช้วิธีเดียวกันในการอัพเดตว่าตอนนี้ที่ตั้งใจไว้ ทำไปถึงไหนแล้วบ้าง ใกล้สำเร็จหรือยัง

แล้วเคยสงสัยไหมครับว่า แล้วปณิธานปีใหม่ของเจ้าของโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก คืออะไร

ถ้ายังจำกันได้ ในแต่ละปี มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก จะมี “โครงการประจำปี” ของตนเอง เช่น ในปี 2015 มาร์กตั้งใจว่า จะอ่านหนังสือให้ได้สัปดาห์ละ 1 เล่ม, ในปี 2016 มาร์กตั้งใจว่า จะเขียนโปรแกรมผู้ช่วยอัจฉริยะ (Personal Assistant) ไว้ใช้เอง, ส่วนในปีที่ผ่านมา คือปี 2017 มาร์กตั้งใจว่าจะเดินทางไปพบผู้คนในทุกๆ รัฐ (ซึ่งเป้าหมายในปีหลังสุดนี้ก็ทำให้มีข่าวลือว่าเขากำลังจะเล่นการเมือง หรือกระทั่งลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะเหมือนเดินหาเสียงเหลือเกิน ซึ่งเขาปฏิเสธ) ส่วนปีอื่นๆ ที่ผ่านมา ก็มีเป้าหมายเช่นวิ่งให้ครบ 365 ไมล์ หรือเรียนภาษาจีน

แล้วเป้าหมายในปีนี้ของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก คืออะไร? เป้าหมายของเขาคือการ “แก้ไข Facebook” ครับ

Advertisement

อันที่จริงแล้ว หากพูดกันตามตรง เราไม่ควรเอางานหลักของตัวเองมาเป็นเป้าหมายสักเท่าไร อย่างเช่น หากงานของคุณคือการทำบัญชี คุณก็ไม่ควรบอกว่าเป้าหมายของปีนี้คือการทำบัญชี หรืองานของคุณคือการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า ก็ไม่ควรตั้งเป้าหมายเป็นอย่างเดียวกัน แต่ทั้งๆ ที่มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก มีงานหลักคือ “การดูแลเฟซบุ๊ก” แล้วทำไมมาร์กต้องบอกว่าปณิธานของเขาคือการ “แก้ไขเฟซบุ๊ก” อีก

เขาเขียนไว้อย่างนี้ในสเตตัส

“ผมเริ่มท้าทายตัวเอง (ด้วยเป้าหมายประจำปี) แบบนี้ตั้งแต่ปี 2009 ในปีแรกนั้นเศรษฐกิจก็ถดถอยและเฟซบุ๊กก็ยังไม่มีกำไรเลย เราเลยต้องพยายามสร้างโมเดลธุรกิจให้เฟซบุ๊กอยู่ได้ มันเป็นปีที่จริงจังมาก ผมเลยตั้งปณิธานไว้ว่าจะผูกไททุกวัน เพื่อย้ำเตือนตัวเองถึงเรื่องนี้

Advertisement

วันนี้ ผมรู้สึกเหมือนปีแรกเลย โลกของเราช่างเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและการแบ่งแยก เฟซบุ๊กจึงมีงานต้องทำมาก ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องชุมชนของเราจากความเกลียดชังหรือการกลั่นแกล้ง การป้องกันไม่ให้ชาติต่างๆ เข้ามาแทรกแซงมากเกินไป หรือการทำให้เฟซบุ๊กนับเป็นการใช้เวลาที่มีค่า

เป้าหมายปี 2018 ของผมจึงเป็นการแก้ไขปัญหาสำคัญเหล่านี้”

เขายอมรับว่าเฟซบุ๊กเองอาจแก้ไขปัญหาทั้งหมดไม่ได้หรอก แต่ที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้แย่กว่ามาตรฐานไปเยอะ และเขาก็ยอมรับว่าเป้าหมายดูไม่ได้เป็น “ปณิธานส่วนตัว” แต่เขาก็สัญญาว่าจะเรียนรู้ประเด็นสังคมต่างๆ ให้มากขึ้น ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ การเมือง สื่อ รัฐศาสตร์ ฯลฯ นอกจากนั้นยังพูดถึง “เป้าหมายหลัก” ของเฟซบุ๊กด้วย ว่าคือการ “ให้พลังกับผู้คน” (Give people the power) เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงยุค 1990s และ 2000s คนเคยคิดว่าเทคโนโลยีจะมาเป็นตัวช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปในทางที่ดีขึ้น และช่วยรักษาสมดุลให้ประชาชนมีอำนาจทัดทานกับบริษัทใหญ่ๆ หรือรัฐบาลของตนมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าความเชื่อแบบนั้นกำลังเลือนหายไป

ผมคิดว่าเป้าหมายของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ที่ตั้งออกมาในปีนี้นั้น ‘เมคเซนส์’ มาก หลังจากปีที่ย่ำแย่ของเฟซบุ๊ก เช่น ถูกสอบสวนว่ารับเงินโฆษณาจากรัสเซียเพื่อ “ป่วน” การเลือกตั้ง สื่อแบบดั้งเดิมโจมตีเฟซบุ๊กอย่างหนักหน่วงว่าทำให้สังคมเราแบ่งแยกกันมากขึ้น คนที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกันขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้น ประเด็นเรื่องไลฟ์วิดีโอต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม (เช่น ฆ่าตัวตาย) ที่ดูเหมือนเฟซบุ๊กจะมีมาตรการการจัดการที่ไม่ดีพอ จนประโยคที่เราได้ยินซ้ำๆ ในปี 2017 คือ “ครั้งหนึ่งซิลิคอนวัลเลย์เคยเปรียบเสมือนความหวังของมนุษยชาติ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว”

เราคงต้องติดตามต่อไปว่ามาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (แน่ล่ะครับ รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ และผู้ใช้อย่างเราๆ ด้วย) จะร่วมกันทำให้สังคมออนไลน์เป็นที่ที่ดีขึ้นได้ไหม ซึ่งถ้าดูจากการบรรลุเป้าหมายปีใหม่ที่ผ่านๆ มาของมาร์กละก็ ก็ถือว่ามีอัตราความสำเร็จที่สูงอยู่ ปัญหาก็คือ ปณิธานปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่อง “ส่วนตัว” อย่างที่เคยเป็น

แต่อย่างน้อย การที่มาร์กรับรู้ว่าเฟซบุ๊กเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image