โชคดีปีใหม่ : โดย ทวี ผลสมภพ

ทุกวันนี้เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ รัฐบาลพยายามที่จะรณรงค์ให้การเดินทางกลับ
สู่ภูมิลำเนาเดิมของชนชาวกรุงเทพฯมี
ความปลอดภัย ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่เสียทรัพย์สิน ไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย แต่ดูเหมือนจะล้มเหลวตลอดมา โดยเฉพาะปีนี้รัฐบาลเอาจริง เข้มงวดไปทางตำรวจและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ให้การเสียชีวิตจากการเดินทางเป็นศูนย์ให้ได้ แต่เพียงชั่วสองวันนับจากการเริ่มเดินทางของประชาชน ปรากฏข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีคนตาย
ถึง 92 ศพแล้ว หลายคนอ่านข่าวนี้แล้วคงท้อใจ โดยเฉพาะรัฐบาล ซึ่งหวังสร้างผลงานต้องผิดหวังอย่างรุนแรง สภาพการณ์นี้จึงทำให้เกิดความรู้สึกว่า เทศกาลวันหยุดยาวของข้าราชการ คือวันหยุดเพื่อไปเสี่ยงความตายบนท้องถนนแท้ๆ เพราะเหตุนี้ประชาชนบางส่วนจึงหลีกเลี่ยงการเดินทางไกลในเทศกาลดังกล่าวนี้ ขอให้สังเกตดูว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ทางการก็ทราบแล้ว คือเกิดจากดื่มสุรา ขับรถเร็ว และนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไม่สวมหมวกนิรภัยเป็นต้น และแม้ทางการจะเข้มงวดอย่างไร อย่างเช่นในปีนี้ทางการตั้งเครื่องมือดักจับรถที่ขับเร็ว สัญญาณจะดังไปที่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง จากนั้นทางการก็จะดำเนินการให้ผู้ขับรถคันดังกล่าวหยุดขับรถ ในเรื่องคนขับรถดื่มสุรา ทางการก็ตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์ในเลือด ถ้าเมาขับรถก็จับไปคุมความประพฤติไม่ให้ขับรถต่อไป ทำถึงขนาดนี้แล้ว ข่าววันที่สามก็ปรากฏคนตายรวมเป็น 267 ศพ

วันหยุดยาวที่ก่อให้เกิดการเสี่ยงตายนี้มีอยู่ 2 เทศกาล คือวันสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่ ความจริงเทศกาลทั้ง 2 นี้เป็นวันสิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่เหมือนกัน วันสงกรานต์เป็นวันสิ้นปีเก่าและเป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่งเป็นศักราชโบราณ ซึ่งเริ่มมาแต่อดีตตามประวัติศาสตร์ที่ชาวเรารู้กันในปัจจุบันว่า พระเจ้าอนุรุทธมหาราช กษัตริย์พม่าเป็นผู้ลบมหาศักราช แล้วตั้งจุลศักราช 1 ในปี พ.ศ.1181 โดยกำหนดให้วันที่ 13 เมษายน เป็นสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ แต่ราชพงศาวดารกัมพูชากล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีบทบาทวันสงกรานต์คือ พระเจ้าสักดำมหาราช แห่งนครตักศิลา พูดเพียงเท่านี้คงทำให้ผู้อ่านงงและจะสงสัยใคร่รู้มากขึ้นจึงขออนุญาตผู้อ่านขอแวะไปชมความยิ่งใหญ่ของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้มีบทบาทเรื่องวันสงกรานต์ ก่อนพระเจ้าอนุรุทธมหาราชในราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา หน้า 51-52 กล่าวว่า มีพระราชดำรัสว่าศักราชซึ่งพระเจ้ากรุงตักศิลามหานคร ทรงพระนามว่า พระบาทสักดำมหาราชาธิราช ผู้มีอานุภาพ บุญญาภินิหาร ตรัสให้ตั้งศักราชสำหรับกระษัตริย์ ณ วันพฤหัสบดีขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ศักราช 1 ในปีชวดเอกศก จึงติดเป็นสงกรานต์ ต่อมา 36 วัน เป็นสงกรานต์ใหม่ ตั้งแต่พระพุทธศักราชล่วงแล้วได้ 307 ปี ต่อมาเป็นศักราชสำหรับใช้ในอาณาจักร จนถึงรัชกาลของ พระโคดมเทวราช และเมื่อรัชกาลของพระร่วง ก็ได้สอบพระพุทธศักราชครั้ง 1 ต่อมาถึงรัชกาลของพระบาทอนุรุทธ ได้บำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง พระองค์ให้ลบ ได้ตั้งจุลศักราช 1 เมื่อพระพุทธศักราชล่วงแล้วได้ 1181 เป็นลำดับต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ข้อความทำนองเดียวกันนี้มีกล่าวไว้ในประวัติชาติไทย ของพระบริหารเทพธานี หรือจะเป็นที่ใด ผู้เขียนไม่มั่นใจ ได้กล่าวไว้ว่า แต่ก่อนคนไทยเราทุกกลุ่ม ไม่ว่าคนไทยลุ่มน้ำเมา เมืองเมาหลวง คนไทยกลุ่มแม่น้ำโขงเมืองเชียงแสนและคนไทยกลุ่มแม่น้ำแดง (เวียดนาม) เมืองแถน ล้วนนับเดือนอ้ายเป็นเดือนต้นปี ต่อมาพระเจ้าสักดำมหาราช ผู้ครองนครตักศิลา จึงเปลี่ยนเดือน 5 เป็นเดือน ขึ้นปีใหม่ ความข้างบนในหนังสือที่อ้างมา พอจะสรุปตามที่เข้าใจได้ว่า พระเจ้าสักดำมหาราชทรงให้เปลี่ยนวันขึ้นต้นปีเป็น 1 ค่ำเดือน 5 แต่วันสงกรานต์คือวันที่พระจันทร์ หรือพระอาทิตย์ผ่านเข้าสู่กลุ่มดาวฤกษ์ในอีก 36 วันต่อมา ดังนั้น วันสงกรานต์จึงตกอยู่ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี แต่ทรงให้ใช้มหาศักราชเหมือนเดิม เพราะมหาศักราชได้ตั้งมานานแล้วเมื่อ พระพุทธศักราช 307 ปี

แต่เดิมพระเจ้าสักดำมหาราชทรงให้ใช้ศักราชสำหรับพระราชาเท่านั้น ต่อเมื่อเปลี่ยนพระราชาก็เปลี่ยนไปเป็นศักราชอื่น แต่กลับเป็นว่า มหาศักราชที่พระองค์ให้กำหนดวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นเดือนต้นปีนั้น กลับกลายเป็นศักราชของอาณาจักร และใช้ผ่านมา
หลายรัชกาล คือตั้งแต่พระเจ้าสักดำมหาราช พระโคดมเทวราช (ขอม) พระร่วง ศุโขทัย (ไทย) จนถึงพระอนุรุทธมหาราช (พม่า) จึงได้ลบมหาศักราช แล้วตั้งจุลศักราช 1 เมื่อ พ.ศ.1181 ส่วนวันสงกรานต์ยังเหมือนเดิม เพราะคงไม่กล้าเปลี่ยนวันสงกรานต์ อันเนื่องมาจากวันสงกรานต์นั้นนำมาจากอิทธิพลของดวงดาวบนท้องฟ้า

Advertisement

ถามว่า พระเจ้าสักดำเป็นใคร? ตอบว่า พระเจ้าสักดำ คือกษัตริย์ไทยใหญ่ สืบมาแต่อาณาจักรเมาหลวง ซึ่งยิ่งใหญ่มาก่อน พ.ศ.1181 อันเป็นปีที่พระเจ้าอนุรุทธมหาราชให้ยกเลิกมหาศักราชแล้วได้ตั้งจุลศักราชขึ้นมาแทน ลูกหลานของพระเจ้าสักดำมหาราชที่พอมองเห็นได้ในประวัติศาสตร์คือ ขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ที่เมื่อไทยน้อยคือ ขุนศรีอินทราทิตย์ ตั้งตัวได้ที่สุโขทัยแล้วได้ยกทัพมาปราบ จึงถูกพ่อขุนรามคำแหง โอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ตีแตกไปนั่นเอง ทุกวันนี้ตัวเมืองเก่าคือนครตักศิลายังปรากฏอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเมยทางฝั่งพม่าซึ่งตรงกันข้ามกับอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก ขอให้เข้าใจว่าชื่อจังหวัดตากมาจากชื่อนครตักศิลาของพระเจ้าสักดำนั่นเอง

เราได้แวะชมความยิ่งใหญ่ของไทยใหญ่ผู้ซึ่งเป็นญาติของไทยน้อยซึ่งมีบทบาทในการสร้างเทศกาลปีใหม่ให้ชาวเราได้แสวงหาความสำราญกันมาพอสมควรแล้ว จากนี้เรามาเข้าสู่เนื้อเรื่องโชคดีปีใหม่กันต่อไป ตามข่าวเมื่อสิ้นสุดเจ็ดวันอันตรายของปีนี้แล้ว ปรากฏว่ามีคนเสียชีวิต 423 ศพ ตามข่าวแจ้งว่าคนตายลดลง สภาพการณ์เยี่ยงนี้ผู้เขียนมองว่าเหมือนเหตุการณ์ปกติ กล่าวคือตามปกติสมมุติว่าทั่วประเทศมีรถออกวิ่งตามท้องถนนจำนวนหนึ่งล้านคัน รวมทั้งมอเตอร์ไซค์ด้วย แล้วมีอุบัติเหตุคนตาย สมมุติวันละ 30 ศพ แต่พอถึงวันเทศกาลปีใหม่มีรถออกวิ่งตามท้องถนนทั่วประเทศ ประมาณสองล้านคัน จำนวนผู้เสียชีวิตย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเพราะจำนวนรถมากขึ้น และแถมผู้ขับรถใน
ช่วงปีใหม่ดื่มสุรากันเกือบทุกคันรถ ยิ่งจะเพิ่มอุบัติเหตุทำให้คนตายเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นถ้าทางการจะระวังอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรเข้มงวดทุกวัน และสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุก็เหมือนปกติประจำวัน คือเมาขับรถ ขับรถเร็ว หลับใน ที่ทางการก็ทราบอยู่แล้ว ดูเหมือนปีนี้ได้เพิ่มโทษคนดื่มสุราขับรถ คือจับไปคุมความประพฤติ ก็ขอให้ทำอย่างนี้ทุกวัน แค่เมืองไทยชอบเอาเส้นใหญ่มาช่วย บางคนที่ถูกคุมความประพฤติ ถ้าเส้นใหญ่ บางที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นต้น แบบนี้คนทำผิดก็จะไม่เข็ดหลาบ เหตุการณ์ต่างๆ ในเมืองไทยที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายก็มาจากการไม่เอาจริงของตำรวจ หรือบางที่ตำรวจเอาจริง แต่หน่วยเหนือตำรวจก็เข้ามาแทรกแซงอีก การไม่เด็ดขาดตามกฎหมายนั่นเอง ทำให้เกิดเหตุที่ไม่พึงประสงค์ในสังคมไทย

เมื่อสภาพการณ์เป็นแบบนี้ เราควรหาความจริงในเรื่องปีใหม่ เพราะความจริงแล้ววันปีใหม่ไม่มี!

Advertisement

ในโลกนี้มีเฉพาะกลางวันและกลางคืนซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไปเพราะพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเราเรียกกันว่ากลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ตกเราเรียกว่ากลางคืน กลางวันและกลางคืนหมุนเวียนไปอย่างนี้ชั่วนาตาปี มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่มีความฉลาด ได้สังเกตเห็นความต่างกันของกลางวันและกลางคืน กล่าวคือวันคืนบางเวลาหนาว บางเวลาร้อน บางเวลาฝนตก มันหมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ เราจึงกำหนดฤดูขึ้นมา เมื่อมันหมุนเวียนไปอย่างนนี้จนถึง 3 ฤดู หรือ 4 ฤดู แล้วมันก็ขึ้นต้นฤดูใหม่ มนุษย์จึงได้สมมุติว่า 12 เดือนเป็นหนึ่งปี แล้วเมื่อครบหนึ่งปีตามที่มนุษย์เรากำหนดขึ้นแล้ว มิได้มีสิ่งพิเศษอะไรเกิดขึ้น เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าครบปีแล้ว พวกเราทรงจำกันไว้เอง พวกเราสมมุติกันขึ้นเอง แต่ถึงจะสมมุติกันขึ้นก็เป็นความจริงที่พระท่านเรียกว่า สมมติสัจจะ คือความจริงที่เราสมมุติกันขึ้น ส่วนกลางวันและกลางคืนที่มีอยู่นั้น พระท่านเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ คือความจริงที่มีอยู่จริง มันเป็นความจริงอีกว่าวันคืนล่วงไป เดือนปีที่มนุษย์สมมุติกันขึ้นมาผ่านไปมันได้พาเอาชีวิตของสัตว์โลกไปด้วย ชีวิตสัตว์โลกถ้าผ่านมายาวชีวิตที่เหลือก็สั้นลง โดยความหมายนี้ก็คือ พวกเรากำลังเดินเข้าหาความตายกันทุกคน เมื่อปีหนึ่งผ่านไป วันสุดท้ายของปีเก่าเราควรทำอย่างไร และเมื่อวันแรกของปีใหม่กำลังเข้ามาเราควรทำอย่างไร ขอให้เราสังเกตดูว่า วันปีใหม่ของคนโบราณกล่าวคือวันสงกรานต์ คนโบราณเขาทำอะไร? คำตอบคือ รุ่งเช้าเขาพากันไปวัดนำอาหารไปทำบุญ ในมือถือโกศบรรจุกระดูกของพ่อแม่ไปด้วย เมื่อถวายทานแล้ว ก็นำกระดูกพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ให้พระท่านทำพิธีบังสุกุล จากนั้นก็อุทิศส่วนบุญจากการถวายอาหาร ส่วนบุญจากการทำพิธีบังสุกุล ไปให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย กิจกรรมในวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนโบราณสะอาด ไม่มีอบายมุขเข้ามาเกี่ยวข้อง

เมื่อเรากำหนดวันปีใหม่ตามสากลนิยมคือมกราคม กิจกรรมวันปีใหม่ได้เปลี่ยนไป ถ้าอยู่บ้านเราก็ชวนเพื่อนบ้านตั้งวงกินเหล้า เพราะคนคอเหล้าคอยจังหวะที่จะหาโอกาสกินเหล้ากันอยู่แล้ว นี่วันสิ้นปีเก่าและวันปีใหม่กำลังจะมา จะต้องดื่มกันตลอดคืน จะต้องสนุกกันให้เต็มคราบ นี่คือความคิดของคนกินเหล้า บางปีก็มีข่าวกินเหล้าตลอดคืนจนต้องสังเวยชีวิตไป เพราะกินเหล้าส่งปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่มีใครคิดเลยว่า
เมื่อปีเก่าสิ้นไป นั่นคือชีวิตของเรากำลังหมดไปอีกหนึ่งปี ความตายของเรามันกำลังคืบเข้ามาหาเราอย่างแน่นอน เมื่อได้ฉุกคิดประเด็นนี้แล้ว มันควรหรือที่เราเมื่ออายุเราหมดไปหนึ่งปีแล้ว เรามาหาความสำราญด้วยการกินเหล้าอันเป็นบาป เหมือนเราสนุกและยินดีว่า เราใกล้ความตายเข้ามาอีกหนึ่งปีแล้วโว้ย! ถามว่าเราควรยินดีอย่างนั้นหรือ! แต่ปัจจุบันนี้กรมการศาสนาได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2548 ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมของของชาวพุทธเราอย่างมาก

ดังนั้นขอให้กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี จงเป็นกิจกรรมหลักของวันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ตามสากลนิยมต่อไป

การสังเวยชีวิตเพราะการฉลองปีใหม่ขณะอยู่บ้านดูเหมือนจะเป็นภาพที่ไม่ดีนัก แต่การที่คนฉลองปีใหม่ด้วยการขับรถไปหาพ่อแม่ต่างจังหวัด น่าจะเป็นภาพที่ดี และน่าจะเป็นกิริยาบุญอีกด้วย เพราะอะไร? เพราะว่าขณะที่ขับรถไปหาพ่อแม่ ใจก็มุ่งแต่อยากกราบพ่อแม่ อยากกอดพ่อแม่ อยากส่งเงินให้พ่อแม่ชื่นใจ และถ้าเกิดอุบัติเหตุเพราะดื่มสุราเข้าไป เขาน่าจะไปเกิดในสุคติ เพราะพระท่านว่า ขณะตายถ้าใจผ่องใส เพราะคิดถึงพ่อแม่ สุคติเป็นอันหวังได้ แต่ถ้าจะให้ดี น่าเดินทางไปให้ถึงพ่อแม่ก่อน จึงฉลองกัน ในหมู่ญาติพี่น้อง

ก่อนจบจึงขอสรุปให้เข้าใจว่า ผู้ที่เปลี่ยนเดือนห้าเป็นเดือนต้นปีแทนเดือนอ้ายนั้น คือพระเจ้าสักดำมหาราช ผู้เป็นกษัตริย์ไทยใหญ่สายลุ่มแม่น้ำเมา ก่อน พระเจ้าอโนรธามังช่อ ของพม่าในปี 1181 เสียอีก นักประวัติศาสตร์บางท่านระบุไว้ว่า อาณาจักรลุ่มน้ำเมาเคยมีอำนาจเหนือ ลำปาง ลำพูน อยุธยา ลพบุรี แต่นักประวัติศาสตร์ไทยกล่าวว่า ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว สำหรับผู้เขียนอยากวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะอาณาจักรเมาหลวง เป็นคนไทยที่อพยพมาจากยูนนานซึ่งติดกับบ้านน้ำคำทางทิศตะวันตกของรัฐฉาน อพยพมาทางทิศตะวันออก ยึดได้พื้นที่ที่เป็นรัฐฉานทั้งหมดในปัจจุบันนี้ มาจนถึงริมฝั่งแม่น้ำเมยในพม่าซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับจังหวัดตากขณะนี้ รุ่งเรืองมาก่อนพระเจ้าอโนรธามังช่อ เมื่อคนไทยที่อพยพมาจากเมืองแถนและจากเชียงแสนมาพบความยิ่งใหญ่ของไทยลุ่มน้ำเมา จึงยอมยกย่องเรียกว่า ไทยใหญ่ และยอมเรียกตัวเองว่าไทยน้อยมาจนถึงทุกวันนี้ หวังว่าคนไทยบางกลุ่มคงจะสนิทใจมากขึ้น เมื่อทราบว่าผู้กำหนดวันสงกรานต์คือมหาราชของไทยใหญ่ พม่าเป็นเพียงผู้ตั้งจุลศักราชเท่านั้น และทุกวันนี้ไทยมิได้ใช้จุลศักราชแล้ว

สิ่งที่ชาวเราควรหวังต่อไป ก็คือรัฐบาลต้องเข้มงวดคนเมาขับทุกวัน ไม่ใช่เข้มงวดเฉพาะในวันเทศกาล และเมื่อทำได้อย่างนี้ นั่นคือการมีอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลง คนบาดเจ็บลดลง คนเสียชีวิตลดลง และนั่นคือความโชคดีของทุกคนในประเทศไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image