ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ข้อกล่าวหาประการหนึ่งสำหรับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย ที่แปลงกายเป็นพลังประชาชน และเป็นเพื่อไทยในท้ายที่สุด
ก็คือการใช้นโยบาย “ประชานิยม” ปรนเปรอประชาชนด้วยเงินงบประมาณรูปแบบต่างๆ
ทำให้ประชาชน “นิสัยเสีย” งอมืองอเท้าหวังพึ่งแต่ความช่วยเหลือจากรัฐ
เป็นนโยบายน่ารังเกียจ
เป็นเรื่องที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
ถึงขั้นมีการร่างเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ห้ามมิให้รัฐบาลใดๆ ดำเนินนโยบายประชานิยมเช่นนี้อีก
ฉะนั้น อย่าแปลกใจ
หากในท่ามกลางเสียงโอดครวญจากคนจำนวนไม่น้อยในสังคม
ว่าสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน แม้จะเจริญเติบโตดีกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา
แต่ก็เป็นไปในลักษณะ “รวยกระจุก จนกระจาย” ยิ่งกว่าสมัยใดๆ
รัฐบาลจากการรัฐประหาร ซึ่งแสดงจุดยืนท่าทีชัดเจนแล้วว่าเป็น “นักการเมือง” ที่พร้อมจะเสนอตัวผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไป
จะตอบสนองอย่างขมีขมัน
ด้วยมาตรการที่คล้ายคลึงกัน
แต่ในชื่อที่แตกต่างกันออกไป
จากประชานิยม ก็กลายเป็น “ประชารัฐ”
พึงสดับ
9มกราคม ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า
ที่ประชุมอนุมัติโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อผู้มีรายได้น้อยในระยะที่ 2 วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท
เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในการซื้อสินค้า
บรรเทาเยียวยาค่าใช้จ่ายในครอบครัว
และโครงการระยะที่ 2 นี้ เน้นการฝึกอบรมให้ประชาชนเข้าถึงกองทุน โดยประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่น และ 1 แสนบาทต่อปี จะได้ประโยชน์
เป็นโครงการที่สอดคล้องกับมาตรการลดความยากจนที่ช่วยเหลือทุกจังหวัด โดยจะนำทั้งกระทรวงเศรษฐกิจ เกษตร สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง ลงไปดูแล
เหมือนกับที่รัฐบาลจีนลงไปพบปะทุกครอบครัว
ดูว่าประชาชนต้องการอะไร และอะไรที่ภาครัฐรวมถึงเอกชนจะเสริมได้
“ซึ่งเหล่านี้คือโครงการประชารัฐ”
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า
มาตรการนี้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 จำนวน 4.7 ล้านคน
มุ่งหวังให้มีงานทำ การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
มีโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทุกมิติรวมกว่า 34 โครงการ
จาก 6 กระทรวง 3 ธนาคาร 2 กองทุน และ 2 หน่วยงาน
โดยที่
1.ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปี 2559 ได้รับวงเงินเพิ่ม 200 บาท/คน/เดือน
2.ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทในปี 2559 ได้รับวงเงินเพิ่ม 100 บาท/คน/เดือน
เสริมด้วย
มาตรการภาษีเมื่อเอกชนจัดการฝึกทักษะฝีมือให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือจ้างงานเป็นกรณีพิเศษ
ให้หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า
และเมื่อกระทรวงการคลังส่งข้อมูลให้กับทางจังหวัดแล้ว จะมีคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ หรือทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.)
ดูแลและให้คำแนะนำแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการฯ ทุกหมู่บ้าน
เริ่มลงพื้นที่เดือนกุมภาพันธ์ เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหา สอบถามความประสงค์
นอกจากนั้นยังจะมีการจัดหางานในประเทศและต่างประเทศโดยกระทรวงแรงงาน
โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อผู้มีรายได้น้อยโดยกระทรวงพาณิชย์ โครงการตลาดประชารัฐโดยกระทรวงมหาดไทย การเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกร
โครงการมหาวิทยาลัยประชาชน โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ โครงการสินเชื่อ Street Food โดยธนาคารออมสิน
และสินเชื่อจาก ธ.ก.ส.วงเงิน 95,000 ล้านบาท
รวมทั้งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.)
ติดตามความคืบหน้าแบบรายบุคคล
เห็นไหมเล่าว่านี่คือประชารัฐ มิใช่ประชานิยม
แต่ไม่ว่าจะในชื่อใด
คำถามอยู่ที่ว่าจะบรรลุเป้าหมาย ที่มุ่งแก้ปัญหารวยกระจุก จนกระจายได้หรือไม่
ตรงนั้นต่างหากสำคัญ
และชี้ขาดอนาคตการเมืองของ คสช.