“มหาวิทยาลัยไทย” ทำอย่างไร? จึงจะอยู่รอด…ถือเป็น “โจทย์ปัญหา” ที่ท้าทายวงการอุดมศึกษาไทยในวงกว้าง ไม่เพียงแต่มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเอกชน แม้แต่มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่ว่าแน่ๆ…!! หากไม่รู้จักปรับตัวแล้ว เชื่อว่าการจะ “อยู่รอด” คงเป็นไปได้ยาก…หรือหาก “อยู่รอดได้” คงต้องอยู่รอดได้ในระยะสั้นๆ แบบทุลักทุเล
การที่มหาวิทยาลัยไทยอยู่ยาก มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น “อัตราการเกิดของเด็กลดลง” ทำให้มีจำนวนผู้เรียนลดลง จากในอดีตมีอัตราเด็กเกิด 1,000,000 คนต่อปี แต่ปัจจุบันมีอัตราเด็กเกิดใหม่เพียง 600,000-700,000 คนต่อปีเท่านั้น
“สถาบันอุดมศึกษาไม่สามารถก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน” ไม่สามารถพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนที่รองรับตลาดแรงงานปัจจุบันและอนาคต สาขาวิชาต่างๆ ที่จัดการเรียนการสอนปรับตัวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของอาชีพต่างๆ ตลอดจนการมีช่องว่างระหว่างวัยของอาจารย์ผู้สอนกับนักศึกษาที่เติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีมีความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันมาก ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารหรือถ่ายทอดองค์ความรู้
“ช่องทางในการจัดการเรียนการสอนเปิดกว้างมากขึ้น” ปัจจุบันการเรียนการสอนไม่ได้จำกัดแค่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนสอนได้จากหลายช่องทาง เช่น การอบรมระยะสั้น การเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต (Self-directed Course) หรือแม้แต่การเรียนการสอนผ่านระบบ MOOCs (Massive Open Online Courses) โดยทั่วไปหมายถึงระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชน ซึ่งมีลักษณะให้เข้าเรียนได้ไม่จำกัดจำนวนคน เป็นระบบ “เปิด” ที่ทุกคนที่อยากเรียนจะต้องได้เรียน ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเรียน และใช้เทคโนโลยีออนไลน์เป็นเครื่องมือแบบ “One Stop Learning” หรือ “เรียนรู้ได้ทุกทิศทาง ณ จุดเดียว”
โดยปัจจัยที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงดีกรีการศึกษา เพราะปัจจุบันตลาดแรงงานไม่ได้ให้ความสำคัญแค่ใบปริญญาบัตรแต่ยังพิจารณาจากทักษะและความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานด้วย ที่สำคัญอาจารย์ผู้สอนเองก็ต้องไม่พลาดกับการเรียนรู้ผ่าน MOOCs เช่นกัน มหาวิทยาลัยดังๆ ในต่างประเทศล้วนนำบทเรียนหรือวิชาใหม่ๆ มาบรรจุไว้ครบทุกศาสตร์
“สื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว” ในอดีตเมื่อพูดถึงสื่อการเรียนการสอนหลายคนอาจจะนึกถึงหนังสือ ตำรา ฟิล์มภาพยนตร์ แผ่นสไลด์ หรือแม้แต่อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ แต่ในยุคปัจจุบันมีนวัตกรรมของสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่เกิดขึ้น จำนวนมาก อาทิ
“โปรแกรมค้นหา” (Search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยสืบค้นหาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยค้นหาครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่นๆ
“บล็อก” (Blog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง โดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่าเพลง หรือวิดีโอในหลายรูปแบบ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูลสามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน
ขณะที่ “ห้องเรียนออนไลน์” เช่น Google Classroom เปิดให้บริการสำหรับทุกคนที่ใช้ Google Apps for Education ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ให้บริการฟรี ประกอบด้วย Gmail, เอกสาร และไดรฟ์ Google Classroom ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ครูสามารถสร้างและเก็บงานได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองกระดาษ ตลอดจนติดตามการทำงานของนักเรียนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนได้แบบเรียลไทม์
ที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่ส่งผลให้สถาบันอุดมศึกษาไทยจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจาก “นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก” (Disruptive Technology) ซึ่งจากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากนักวิชาการต่างๆ ทำให้พบแนวทางการปรับตัว เพื่อความอยู่รอดของสถาบันอุดมศึกษาที่หลากหลาย ซึ่งน่าจะเป็น “ทางเลือกเพื่อทางรอด” ได้อีกหนึ่งมิติ
“การสำรวจความต้องการของผู้เรียน” ไม่เพียงจะทำให้รับรู้ความต้องการเท่านั้น แต่ทำให้ได้รับรู้ข้อมูลที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน หรือใช้การสำรวจเพื่อรับรู้ความพึงพอใจ หรือแม้แต่แรงจูงใจที่ทำให้ผู้เรียนต้องการเข้าเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลสัมฤทธิ์ในเชิงบวกทั้งสิ้น การสำรวจความคิดเห็น เปรียบเสมือนเป็นการทำวิจัยตลาด (Marketing Research) ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่สามารถนำมาใช้เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งอาจารย์ บุคลากร หลักสูตร และมหาวิทยาลัยให้สอดคล้องกับความต้องการของนักศึกษา (Data-driven Management) จนส่งผลปลายทางสู่การจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการและสร้างผู้เรียนที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของการตลาดแรงงานในที่สุด
“ปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้มีความทันสมัย” ซึ่งหลักสูตรการเรียนการสอน คือ เส้นทางการสร้างโอกาสงานยุคใหม่ โดยแต่ละสาขาวิชาต้องสอดคล้องตามความต้องการของตลาดแรงงานและโลกในยุคอนาคต เช่น หลักสูตร Fintech หรือพัฒนาหลักสูตรที่สร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการในรูปแบบของหลักสูตรที่เน้นการบูรณาการระหว่างการเรียนรู้และการทำงานเข้าด้วยกัน (Work-lntegrated Leaning : WiL) โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
ขณะที่ “การปรับอุปกรณ์การเรียนให้ทันสมัยและมากพอ” จะช่วยให้นักศึกษาฝึกใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างชำนาญ เพื่อเตรียมความพร้อมและฝึกความชำนาญก่อนที่จะลงมือปฏิบัติงานจริง ส่วน “การเปลี่ยนการสอนเป็นการเรียนรู้” ควรใช้การพูดคุยระดมความคิด ถกเถียงเชิงวิพากษ์โดยเปลี่ยนให้คณาจารย์ทำหน้าที่ “โค้ช” ชี้นำนักศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ สิ่งใหม่ (Active Learning) จนทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ได้ นอกจากนั้นจำเป็นต้อง “สร้างโอกาสและเครือข่ายงาน” โดยเน้นการเรียนผ่านการลงมือทำตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องมีการสร้างพันธมิตรทางการศึกษาที่หลากหลาย เพื่อมีส่วนสร้างเครือข่ายงาน สถานที่ฝึก และที่ทำงานจริงให้นักศึกษา
บทสรุปของ “มหาวิทยาลัยไทย” ทำอย่างไร? จึงจะอยู่ “รอด” คงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องคิดหากลยุทธ์ในการบริหารเพื่อให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ใด? แต่บทสรุปสุดท้ายหากวัดที่ความสำเร็จของผู้เรียนเป็นสำคัญ ก็ย่อมเป็นภาพสะท้อนที่อธิบายถึงโอกาสในการ “อยู่รอด” ของ “มหาวิทยาลัยนั้นๆ” ซึ่งเป็นรูปธรรมและชัดเจนที่สุด
ส่วนกรณีวิวาทะระหว่างผู้บริหารมหาวิทยาลัยกับ สกอ.ที่กำลังโต้กันไปกันมาถึงเรื่องมาตรฐานหลักสูตร…ก้าวให้ข้ามเถอะครับปัญหานี้ ยังมีปัญหาหนักกว่านี้ที่รออยู่ นี่แค่บทพิสูจน์เล็กๆ พิสูจน์ให้สังคมได้เห็นกันว่า…มหาวิทยาลัยไทยจะไป “รอด” หรือ “ไม่รอด”