ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
ต้องยอมรับว่ากระแสข่าวเรื่อง “นาฬิกาหลายเรือน” ที่เคยปรากฏอยู่บนข้อมือของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั้นยังไม่เงียบหายไปจากสังคม
ระยะหลังๆ ประเด็นที่ตั้งต้นจากการตั้งข้อสังเกตเชิง “ทีเล่นทีจริง” เรื่องนี้ ถึงกับแพร่ลามไปยังต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสกู๊ปของบางสำนักข่าว หรือการนำไปกล่าวถึงเชิงเสียดสีโดยอดีตเอกอัครราชทูต ผู้เคยประจำอยู่ในประเทศไทย
ในไทยเอง ไม่มีสื่อมวลชนรายใดกล้าปฏิเสธว่าข่าว “นาฬิกา” บนข้อมือรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยังคงขายได้
เพราะเป็นข่าวการเมืองที่มวลชนมหาศาลให้ความสนใจ กล่าวคือ มีทั้งเสียงสะท้อนแง่ลบจากคนฝั่งที่ไม่ชอบรัฐบาลอยู่เป็นทุนเดิม และเสียงผิดหวังจากคนฝั่งที่เคยเชียร์รัฐบาลทหาร รวมถึงสนับสนุน คสช. ให้เข้ามาควบคุมอำนาจ
ไม่ว่านี่จะเกิดจากกระบวนการเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลอันมี “เบื้องหลัง” หรือเป็นกระแสข่าวที่ถูกจุดประเด็นขึ้นมาโดยบังเอิญในโลกของสื่อใหม่อย่างอินเตอร์เน็ต
กระแสข่าวดังกล่าวก็จุดติดไปแล้วเรียบร้อย และสามารถสร้างปฏิกิริยาต่อเนื่องได้รุนแรงเกินกว่าใครๆ จะคาดคิด จากเมื่อครั้งที่มีข่าว “นาฬิกาเรือนแรก” ปรากฏขึ้นมา
นั่นคือเรื่องราวว่าด้วย “นาฬิกา” ของ พล.อ.ประวิตร และเพื่อน
อย่างไรก็ตาม พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของข้อโจมตีอันมีต่อนาฬิกาข้อมือ ซึ่งเป็นของใช้ส่วนตัว/ของใช้ที่แชร์ร่วมกันได้ระหว่างรองนายกฯ และเพื่อนสนิท
นาฬิกาของ คสช. ก็ยังคงเดินหน้าไปไม่มีหยุดยั้งเช่นกัน
แม้จะมีแนวโน้มของความพยายามที่จะชะลอ-ฉุดรั้งกาลเวลา เช่น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ออกมาหยั่งเชิงว่าจะเสนอให้ร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้ 90 วัน หลังเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา
จนอาจส่งผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนไปถึงต้นปี 2562
แต่อีกด้าน เวลาในนาฬิกานับถอยหลังเรือนนี้ก็เหลือไม่เยอะนัก หากพิจารณาจากผลโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งบ่งชี้ว่าคะแนนความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นั้นลดลง
ยิ่งกว่านั้น ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังอยากได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
ด้วยเหตุนี้ นาฬิกาหลากหลายเรือนที่เคยถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือของ พล.อ.ประวิตร และนาฬิกานับถอยหลังของ คสช. จึงเกี่ยวพันลึกซึ้งกับนาฬิกาทางการเมือง และนาฬิกาของสังคมไทย
ไม่ว่าจะหาหนทางยืดเวลาออกไปสักเท่าไหร่ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คสช. เหลือเวลาอีกไม่มาก เพราะยิ่งอยู่นาน ความนิยมก็ยิ่งเสื่อมทรุดลงตามธรรมชาติ
นี่เป็น “สัจจะ” ที่รัฐบาล/ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือการยึดอำนาจ จำต้องเผชิญหน้าอย่างมิอาจเลี่ยงพ้น
ที่สำคัญ ดันมีปัจจัยอื่นๆ (ซึ่งควรเป็นแค่ “เรื่องไม่เป็นเรื่อง”) เข้ามาช่วยเร่งเร้าให้เวลาของนาฬิกานับถอยหลังเดินเร็วขึ้นไปอีก
……………….
ปราปต์ บุนปาน