ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการนำเสนอชุดความคิด “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ออกมาให้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำเสนอเอง
จับความได้ว่า ในเชิงแนวคิด “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศไทย ทุกคนทุกฝ่ายเข้าใจ มีอุดมการณ์เดียวกันที่ทำให้ประเทศชาติมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ในเชิงรูปแบบ “ไม่ทิ้งกลไกของประชาธิปไตยสากล ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง การได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส และเป็นธรรม”
โดยมีรูปธรรมเบื้องต้นว่า “ขับเคลื่อนในแกนวายลงมา จากบนลงล่าง ระดับล่างมีประชารัฐอยู่ในระดับพื้นที่”
แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่นั่นก็พอมองเห็นแนวคิดและโครงสร้างการจัดการได้พอสมควร
ซึ่งถ้าจะขยายความเพิ่มเติมว่า “ไทยนิยม” คือการแบ่งคนไทยเป็น 2 กลุ่ม ระดับบน กับ ระดับล่าง
แล้วจัดวางโครงสร้างให้อำนาจการบริหารกำหนดและควบคุมโดยระดับบน บัญชาการให้ระดับล่างทำตาม โดยมีกลไกที่เรียกว่า “ประชารัฐ” เป็นตัวเข้าถึง สอดส่อง และจัดการให้เป็นไปตามบัญชาการนั้นอย่างราบรื่น
ผ่านเลย “ประชารัฐ” ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องแตกขยายความเป็นจริงและความเข้าใจกันใหญ่โตไปก่อน เพื่อมาหาคำตอบกันในเบื้องต้นว่า “ทำไมต้องประชาธิปไตยไทยนิยม” กันก่อน
น่าจะเป็นเพราะ ทั้งที่โดยหลักแล้วทุกประเทศมี “อธิปไตย” จะปกครองด้วยระบบอะไรก็ได้ แต่ในความเป็นจริงคือ ประเทศไทยเราเป็นประเทศเล็ก และด้อยพัฒนา ที่ถูกนานาประเทศกดดัน บีบคั้นให้ต้องใช้กติกาเดียวกันกับโลก คือกติกาประชาธิปไตย
ด้วยความเชื่อที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นกลไกที่ทำให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่เท่าเทียมกันมากที่สุด และกลไกที่เอื้อต่อสิทธิและเสรีภาพในวงกว้างเช่นนี้จะสร้างกติกาการอยู่ร่วมกันที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ดีกว่า โดยที่กติกานั้นจะส่งความเป็นธรรมต่อนานาชาติที่มาติดต่อสัมพันธ์ ไม่ว่าจะในทางการค้าหรือเรื่องอื่นๆ ได้ดีกว่า
ที่เราต้องเลือก “ประชาธิปไตย” เป็นระบบการปกครองของประเทศก็เพื่อเป็นหลักประกันว่า “สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะได้รับการพัฒนาไปสู่ความเท่าเทียม” และทำให้นานาชาติเต็มอกเต็มใจที่จะคบหาสมาคมไปมาหาสู่มากกว่า
แต่ “ประชาธิปไตยสากล” พัฒนาไม่ได้ในประเทศไทยเราเพราะ “คนระดับบน” หงุดหงิด รำคาญ ทนไม่ไหวกับการพัฒนาอย่างเชื่องช้าของคนระดับล่าง
ความหงุดหงิด พาไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวังที่จะพัฒนา เลยไปสู่การดูหมิ่นดูแคลน กระทั่งเห็นว่าจะต้องจำกัดสิทธิคนระดับล่างในทางการเมืองไว้ระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ความด้อยพัฒนานั้นมาสร้างความเดือดร้อนให้กับการเมืองการปกครองของประเทศ
ความคิดเช่นนี้ทำให้ไม่เชื่อว่า ประชาธิปไตยพัฒนาได้เพียงแต่ต้องใช้เวลา และทุ่มเทการให้ความรู้ความคิดอย่างจริงจัง
ความไม่เชื่อนี้นำสู่การ “ยึดอำนาจ” มาให้คนกลุ่มหนึ่งที่คนระดับบนเชื่อว่า “ฉลาดกว่า” บริหารจัดการประเทศ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
แต่วิธีการเช่นนี้อยู่ไม่ได้ เพราะประเทศไทยเราเล็กและยังต้องการความช่วยเหลือในการพัฒนาเกินกว่าที่จะยืดอกท้าทายแรงกดดันของนานาชาติ
“ประชาธิปไตยไทยนิยม” ที่มีโครงสร้างความคิดว่าจะเป็น “ประชาธิปไตยที่สร้างกลไกให้ระดับบนมีอำนาจในการจัดการควบคุมบัญชาการคนระดับล่าง โดยมีประชารัฐเข้าไปช่วยสอดส่องและจัดการให้เป็นไปตามเป้าหมาย”
ด้วยความคิดว่า “ประชาธิปไตยแบบนี้” จะอยู่ได้ยาว เพราะ “คนระดับบนจะให้การยอมรับไม่ล้มล้าง เนื่องจากยังสามารถควบคุมบัญชาการได้ ขณะที่แรงกดดันบีบคั้นจากนานาชาติจะลดลงเพราะมีรูปแบบบางอย่าง เช่น มีการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างเชื่อมโยงกับความหมายของประชาธิปไตยสากล”
ส่วนคนระดับล่างนั้น มี “ประชารัฐคอยดูแลเยียวยา ไม่ให้เดือดร้อนจนอยู่ไม่ได้” ว่ากันแบบตรงไปคือ แจกกันไปเหมือนที่ทำอยู่ใน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่ขยายการให้ไปเรื่อยๆ
“ประชาธิปไตยที่มั่นคง” ที่มีนิยามใหม่ว่า “ประชาธิปไตยไทยนิยม” น่าจะเป็นแบบนั้น
เพียงแต่คำถามที่ควรจะต้องได้รับคำตอบที่ชัดเจนคือ “การบริหารในระบอบประชาธิปไตยไทยนิยมนี้ ใครคือผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศมากกว่า และความเหลื่อมล้ำที่โฆษณากันนักหนาว่าจะต้องทำให้น้อยลงนั้น เกิดขึ้นได้จริงหรือในระบบการปกครองแบบนี้”
ด้วยคำตอบดังกล่าว น่าจะเป็นประเด็นหลักของการต่อสู้กันใน “สนามการเลือกตั้ง” ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ประชาชนจะตัดสินว่า “ประชาธิปไตยแบบไหน” ที่คนส่วนใหญ่ต้องการ
…………..
สุชาติ ศรีสุวรรณ