ไต่สวนสาธารณะ : โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์

กรณีทดสอบพลังทางสังคม พลังขององค์กรสาธารณะ องค์กรภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นเพื่อความเปิดเผยโปร่งใสทั้งหลายแหล่ว่าจะมีน้ำยาสักแค่ไหนเมื่อเผชิญกับอำนาจ ยังดำเนินต่อไปอย่างท้าทาย

ไม่ใช่แค่ผู้คนไม่เชื่อคำอธิบายที่ว่า นาฬิกาเป็นของเพื่อน คืนเพื่อนไปหมดแล้ว จะมีน้ำหนักมากพอทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยความราบรื่น

แต่คำตอบกลับทำให้มีคำถามใหม่ตามมาอีกมากมาย เพราะความจริงที่แท้ยังไม่ปรากฏ

เพื่อนเป็นใครบ้าง มีกี่คน คนเดียวหรือหลายคน เป็นใคร ตัวตนอยู่ที่ไหน ใครเป็นเจ้าของนาฬิกาเรือนไหน ให้ยืมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เพื่อนได้นาฬิกามาอย่างไร เมื่อไหร่ ขณะนี้นาฬิกาแต่ละเรือนอยู่ที่เพื่อนคนไหน เป็นนาฬิกายี่ห้ออะไร ราคาเท่าไหร่

Advertisement

เพื่อนที่ว่าถ้ามีตำแหน่งแห่งหนเป็นข้าราชการระดับสูง หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สิน หนี้สินหรือไม่ ถ้าอยู่ในข่ายต้องแสดง มีนาฬิกาเรือนที่ได้รับคืนไปปรากฏอยู่ในบัญชีหรือไม่

ถ้าเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ การยืมให้ใส่วนกันไปเวียนกันมา เรือนแล้วเรือนเล่าเข้าข่ายรับของรางวัลมูลค่าเกิน 3,000 บาทหรือไม่ ล้วนคำถามหาเรื่องทั้งนั้น

ฝ่าย เพจ CSILA ที่เผยแพร่ภาพนาฬิกาหรูออกมาตามลำดับบอกว่ามีถึง 25 เรือนแล้ว ขณะที่คำชี้แจงบอกว่าเสนอวนไปวนมา แสดงว่ามีไม่ถึง 25 เรือน

Advertisement

ถ้าความจริงเป็นเช่นที่ชี้แจง ก็ยังคงมีคำถามต่อไปอีกว่า สรุปแล้วที่เป็นของตัวเองจริงๆ จำนวนเท่าไหร่แน่ ยี่ห้ออะไร รวมกันแล้วมูลค่าถึงขั้นต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ และได้แสดงหรือไม่
เพื่อความเป็นธรรม ไม่เป็นการใส่ความ ใส่ร้ายป้ายสี สังคมจึงต้องตรวจสอบเพจ CSILA ด้วย หากไม่พิสูจน์กันถึงขั้นนั้น สังคมก็ตกเป็นเหยื่อของคนทำเพจ โกหกชาวบ้านก็เป็นได้

การจะจับผิดเพจก็ด้วยการนำเอานาฬิกาที่ถูกนำเสนอ ที่ว่าให้คืนเพื่อนไปแล้วออกมายืนยันว่าเพจเสนอเรื่องเท็จ ทั้งเพ

ฉะนั้นถึงต้องเอาความจริง เอาของจริงออกมาแสดงให้สังคมได้พิสูจน์สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก เพื่อตบหน้าเพจ และป้องกัน วันหน้าพวกเพจออนไลน์จะได้ไม่เที่ยวไปกล่าวหาใครต่อใครง่ายๆ ไม่รับผิดชอบ พลอยพวกออฟไลน์กลายเป็นเหยื่อไปด้วย

ท่ามกลางคำถามต่างๆ มากมายเหล่านี้ ประเด็นมีว่า ป.ป.ช.จะไปต่ออย่างไร เมื่อปรากฏหลักฐาน วัตถุพยาน รูปถ่ายชัดเจนขนาดนี้

จากวัตถุพยานภาพถ่าย ต่อไปต้องเป็นนาฬิกาตัวจริง พร้อมพยานเอกสารประกอบ อาทิ หนังสือรับประกันรับรองคุณภาพ กล่องใส่นาฬิกา เอกสารคำชี้แจงของผู้เกี่ยวข้อง และที่สำคัญสุดคือพยานบุคคล
กระบวนการแสวงหาความจริงจากพยานหลักฐานต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนเกินความสามารถของเจ้าหน้าที่นักสืบสวนสอบสวน นักพิสูจน์หลักฐาน
สถานการณ์จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างความพยายามจะปกปิด กับความพยายามที่จะเปิด กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น

น่าติดตามว่า ระหว่างการไต่สวนสาธารณะกับการไต่สวนของ ป.ป.ช. ฝ่ายไหนจะมีประสิทธิภาพมากกว่า

ขณะที่การดำเนินกระบวนการตามกฎหมายของ ป.ป.ช.เกิดมีข้อครหา เกี่ยวกับต่ออายุตามกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับใหม่ที่กำลังอื้อฉาว

สนช.ทนแรงเรียกร้องกดดันของสังคมไม่ไหว ต้องยอมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างกฎหมายซึ่งผ่านที่ประชุมไปแล้วนั้น ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าขัดรัฐธรรมนูญจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ อย่างไร

เรื่องนี้จึงส่งผลทั้งการแสวงหาความจริง การใช้อำนาจขององค์กรตรวจสอบ และกระบวนการบัญญัติกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งหนีไม่พ้นถูกนำไปเทียบเคียงกับกรณี ส.ส.ลงชื่อเสนอกฎหมายนิรโทษสุดซอย อนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.เตรียมสรุปสำนวนส่งให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิด

ออกกฎหมายที่ถูกสงสัยว่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคล ระหว่างสองกรณีนี้แตกต่างกันตรงไหน ผู้คนในสังคมรับไม่ได้

ประเด็นยังไม่ใช่เรื่องสุจริต ไม่สุจริต แต่เป็นเรื่องไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อาจเข้าข่ายคนอยู่เหนือกฎหมาย ยังไม่เกี่ยวกับกรณีร่ำรวยผิดปกติ

หากอภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมาย ความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมทางสังคมที่ป่าวประกาศจะขจัดให้ลดลงและหมดสิ้น ก็เสมอเพียงคำหรูเขียนไว้ให้ดูโก้เก๋ เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง

ปิดท้ายวันนี้ คิดถึงวลีที่ว่า สนิมเกิดแต่เนื้อตน ขึ้นมาเฉยๆ อย่างไม่มีปี่ มีขลุ่ย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image