บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ควงรองนายกฯทั้ง 4 คน มาร่วมให้แนวทางให้กับคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมของทุกหน่วยราชการ
ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในส่วนภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง นายอำเภอทุกอำเภอ และบุคลากรที่เป็นวิทยากรระดับจังหวัด เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนทิศทางและกลไกในการขับเคลื่อนคณะกรรมการอำนวยการโครงการไทยนิยมนั้นจะใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทย (มท.) เป็นแม่งานหลักในการบูรณาการความร่วมมือของทุกหน่วยงานเพื่อลงพื้นที่ไปพูดคุยกับประชาชนในทุกตำบล
ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับชาติ เล่าถึงภาพรวมการขับเคลื่อนคณะกรรมการโครงการไทยนิยมว่า คณะกรรมการอำนวยการโครงการไทยนิยมจะแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ระดับอำเภอ มีนายอำเภอเป็นประธาน และทีมระดับตำบล มีจำนวน 7-12 คน ที่นายอำเภอแต่งตั้งให้ขับเคลื่อน ซึ่งต้องมีการบูรณาการงานร่วมกัน
โดยกลไกการบูรณาการขับเคลื่อนงานและการติดตามงานของทุกส่วนราชการในโครงการ ไทยนิยม ยั่งยืน กลไกไทยนิยม ยั่งยืน อาศัยการขับเคลื่อนผ่าน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ตามมาตรา 54 ที่ระบุว่า ให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน
ขณะที่มาตรา 65(2) ระบุว่า ให้นายอำเภอบริหารราชการตามที่คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มอบหมายหรือตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
สาระสำคัญที่คณะกรรมการไทยนิยมจะต้องนำไปขับเคลื่อนให้กับประชาชนในพื้นที่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ให้รายละเอียดว่า สาระสำคัญการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมจะประกอบด้วยสาระสำคัญ 10 เรื่อง ได้แก่
1.สัญญาประชาคมผูกใจเป็นหนึ่ง 2.คนไทยไม่ทิ้งกัน 3.ชุมชนอยู่ดีมีสุข 4.วิถีไทยวิถีพอเพียง 5.รู้สิทธิ รู้หน้าที่รู้กฎหมาย 6.รู้กลไกการบริหารราชการ 7.รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม 8.รู้เท่าทันเทคโนโลยี 9.ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด และ 10.งบตามภารกิจของทุกหน่วยงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวด้วยว่า สำหรับสาระสำคัญทั้ง 10 เรื่อง จะมีโครงสร้างและกลไกการขับเคลื่อนจากคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ที่จะแบ่งประกอบด้วยคณะกรรมการขับเคลื่อนระดับจังหวัด ระดับ กทม. และระดับอำเภอ
โดยหัวใจของการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จะอยู่ที่ทีมขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมระดับตำบล จำนวน 7,663 ทีม ที่จะลงพื้นที่ในทุกตำบล เทศบาล และทุกเขตใน กทม. โดยจะแบ่งเป็น 7,255 ทีมตำบล ลงไปขับเคลื่อนในพื้นที่ 75,032 หมู่บ้าน 208 ทีมเทศบาล ลงไปขับเคลื่อนในพื้นที่ 6,052 ชุมชน และ 200 ทีมใน กทม. ลงไปขับเคลื่อนในพื้นที่ 2,067 ชุมชน
ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในระดับตำบลจะมีนายอำเภอทุกอำเภอเป็นผู้กำกับดูแล มีอำนาจแต่งตั้งทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมในระดับตำบลจำนวน 7-12 คน ซึ่งจะประกอบด้วย อาทิ ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน จิตอาสาในพื้นที่ รวมทั้งเจ้าที่ทหาร 1 คนที่จะรับผิดชอบในด้านมิติความมั่นคง
โดยทีมขับเคลื่อนทั้ง 7-12 คน มีอำนาจหน้าที่เป็นชุดปฏิบัติงานในพื้นที่การแก้ไขปัญหาในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตามสาระสำคัญ 10 เรื่อง รวมทั้งเป็นชุดปฏิบัติงานในพื้นที่ในการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พล.อนุพงษ์ ให้รายละเอียด
ขณะที่ นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ให้รายละเอียดถึงการขับเคลื่อนของทีมขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมจากนโยบายไปสู่การปฏิบัติว่า โรดแมป การปฏิบัติงานของทีมขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมจะแบ่งเป็น 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 จะเริ่มระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม
โดยวันที่ 21 กุมภาพันธ์ จะคิกออฟพร้อมกันทุกตำบล เพื่อสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ รวมทั้งวิเคราะห์ปัญหาความเดือดร้อน เยี่ยมเยียนรายครัวเรือน รายบุคคล และค้นหาความต้องการของประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อจัดทำโครงการเสนอตามกรอบการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ครั้งที่ 2 จะเริ่มระหว่างวันที่ 21 มีนาคม – 10 เมษายน จะเป็นการติดตามขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหา สร้างการรับรู้และปฏิบัติตามสัญญาประชาคม ให้รู้ถึงสิทธิ รู้หน้าที่ รู้กฎหมาย รู้รักประชาธิปไตย และรู้กลไกการบริหาร
ครั้งที่ 3 จะเริ่มระหว่างวันที่ 11-30 เมษายน จะเป็นการติดตามขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหา สร้างการรับรู้ปรับความคิด (mindset) เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนา วิถีไทยวิถีพอเพียง และครั้งที่ 4 จะเริ่่มระหว่างวันที่ 1-20 พฤษภาคม จะเป็นการติดตามขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหา สร้างการรับรู้ ปรับความคิด (mindset) เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนา รู้เท่าทันเทคโนโลยี ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด
หัวใจของทีมขับเคลื่อนระดับตำบลที่มี 7-12 คน จะไปบูรณาการกันที่นายอำเภอ นายอำเภอต้องคัดคนที่สามารถสื่อสารสร้างความเข้าใจ เอาเรื่องยากๆ ไปพูดให้ง่าย ให้ชาวบ้านเข้าใจ อันนี้เป็นเรื่องใหม่ เพราะเดิมการทำงานตามฟังก์ชั่น 20 กระทรวง ไม่สามารถลงไปถึงตำบล ลงได้แค่อำเภอ
แต่ครั้งนี้จะสื่อสารลงไปถึงตำบล นำงานราชการทั้งหมดลงไปอธิบายกับชาวบ้าน ประกอบด้วย 2 ขา คือขาแรก นำงานลงไปชี้แจง ขาที่ 2 สะท้อนปัญหาความต้องการของชาวบ้านกลับขึ้นมา ส่วนที่มีทหารเข้าร่วมทีมด้วย เพราะมีกรอบสัญญาประชาคมที่ทหารเคยทำไว้จากการรวบรวมมา
เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ทหารสื่อสารลงไปทั้งเรื่องความสามัคคีปรองดองแบบเดี่ยวๆ ก็จะไม่มีคนฟัง จึงต้องลงพื้นที่เป็นทีม แต่ส่วนนี้ไม่ได้เน้น ที่เน้นคือเรื่องเศรษฐกิจฐานรากที่ต้องการให้ชาวบ้านนำปัญหาความต้องการขึ้นมา เพื่อจัดสรรเงินงบประมาณลงไปช่วยเหลือได้ตรงจุด
นายอภิชาติชี้แจงบทบาทของทีมขับเคลื่อนระดับตำบล ขณะที่งบประมาณที่ใช้ในการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมนั้น อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบายว่า ใช้งบประมาณจาก พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมกลางปี พ.ศ.2560 จำนวน 150,000 ล้านบาท
แม้ที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ได้คิดและผลักดันโครงการต่างๆ ไปมากมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เสียงสะท้อนจากข้างล่างก็ยังบอกว่าไม่ดี นายกฯจึงต้องลงไปแก้ ดูว่าชาวบ้านต้องการอะไร มีปัญหาอะไร โดยใช้ทีมตำบลที่คล้ายๆ ทีมแก้จน คือเอาข้าราชการคนที่พูดเก่งๆ ไปสื่อสาร รับปัญหาของชาวบ้านขึ้นมา
ส่วนบทสรุปสุดท้ายทีมขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จะตอบโจทย์ได้ตรงตามความต้องการของประชาชนได้หรือไม่นั้น คงต้องติดตาม