ที่มา | คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป มติชนรายวัน 18 กุมภาพันธ์ 2561 |
---|---|
ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
ความเคลื่อนไหวของ ”คนอยากเลือกตั้ง” ที่เริ่มต้นจับกลุ่มกันที่สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน แล้วขยายไปราชดำเนินด้วยความต้องการอาศัยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นสัญลักษณ์
แม้ถึงวันนี้จะจางซาไป เนื่องจากถูกควบคุมอย่างเข้มข้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจที่พลิกขึ้นมาเป็นกลไกจัดการหลักแทนทหารที่เคยทำหน้าที่ก่อนหน้านั้น
แต่เป็นการจางซาที่ดูเหมือนจะถูกบีบให้ไปผุดไปโผล่ในสถานที่ไกลออกไป
มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในหัวเมืองต่างๆ ที่เห็นแล้วคือ “เชียงใหม่”
ความเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนเป็นแบบโผล่ที่โน่นที ที่นี่ ทีของ ”คนอยากเลือกตั้ง” น่าจะยังมีต่อเนื่องเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะควบคุมอย่างเข้มข้นจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ก็ตาม แต่เสียงเรียกร้องนั้นไม่ได้สูญเปล่า
อย่างน้อยที่สุด “เลือกตั้งเมื่อไร” ได้กลายมาเป็นคำถามอีกครั้ง
พรรคการเมืองที่เคยยืนอยู่คนละฝ่ายในทุกเรื่องอย่าง “เพื่อไทย” และ ”ประชาธิปัตย์” เริ่มที่จะส่งเสียงไปในทางเดียวกันคือ ถามหาความชัดเจนในการเลือกตั้ง ร่วมกันมองในทางที่ ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในอันที่จะยื้อต่อไป
กลไกอำนาจที่เกี่ยวข้อง ต้องตอบคำถามทุกวัน และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ถึง “ความชัดเจนของวันเลือกตั้ง”
ผู้สื่อข่าวที่ทำหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ถือเป็นภาระที่จะต้องติดตามหาคำตอบชัดๆ มาให้ประชาชนได้รับรู้ ทำให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้นำรัฐสภา ถูกจี้ถามไม่เว้นวัน
แม้จะอธิบายแล้วอธิบายอีกว่าเป็นไปตามขั้นตอน
ของกฎหมาย แต่ยังไม่มีใครกล้าพอที่จะออกจากวงของคำถามได้
เอาเข้าจริง หลังจากที่ ”สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.ออกไป 90 วัน ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนไปจากที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ประกาศไว้ว่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้
ความเชื่อถือต่อผู้มีอำนาจถึงความแน่นอนในวันเลือกตั้งก็จบสิ้น ไม่มีใครมั่นใจในโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีกแล้ว ไม่มีใครที่ทำให้เชื่อได้อีกว่าอะไรเป็นอะไร
แม้ “พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” ฐานะโฆษกรัฐบาลจะรู้สึก มันจะอะไรกันนักหนา เหมือนไม่รับรู้ว่า การผิดไปจากคำพูดของผู้นำทำให้ความไม่เชื่อถือเกิดขึ้น
แต่การไม่รับรู้ของโฆษกรัฐบาลไม่ได้ทำให้อิทธิพลของความไม่เชื่อลดถอยลง
เมื่อ ”ไม่เชื่อ” เสียแล้ว การแสดงออกจึงเกิดขึ้น
เพราะเชื่อว่า “รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นการพาประเทศออกจากความอึดอัดในหลายๆ เรื่อง เมื่อ เชื่อไม่ได้เสียแล้วว่าจะเลือกเมื่อไร หรือจะยื้อต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ ความเคลื่อนไหวเพื่อแสดงออกถึงความอยากให้มีเลือกตั้งจึงเกิดขึ้น และขยายวงไป”
เช่นเดียวกับพรรคการเมืองที่จะต้องแสดงบทบาทในทางกดดันเพื่อให้รัฐบาลแสดงความชัดเจน
เช่นเดียวกับสื่อมวลชนต้องทำหน้าที่หาคำตอบที่ประชาชนอยากได้ไปให้ประชาชน
เพราะ ”ความไม่เชื่อ” ทำให้กระแสยิ่งถูกทำให้อยู่กับ ”การหาคำตอบเรื่องวันเลือกตั้ง” อย่างเอาเป็นเอาตายมากขึ้น
ที่สำคัญคือ ”ความไม่เชื่อในคำพูด” ได้แปรรูปเปลี่ยนร่างเป็นแก่นแกนของความคิดที่เลยไปถึงไม่เชื่อในเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกทีละเรื่อง
และแน่นอนว่า ที่สุดแล้วหากแค่วันเลือกตั้งยังประกาศให้ชัดเจนและทำให้เป็นไปตามที่ประกาศไม่ได้ มีข้ออ้างมากมายที่จะเปลี่ยนแปลง ที่จะแสดงให้เห็นความไม่แน่นอน
การจะทำให้เกิดความเชื่อถือในเรื่องอื่นๆ ก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ
รัฐบาลที่ประชาชนไม่เชื่อถือ จะอยู่ได้อย่างไร
ผู้นำซึ่งที่สุดแล้วประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่า เชื่อถือไม่ได้ จะฝันถึงการสืบทอดอำนาจต่อไปได้อย่างไร
พัฒนาการเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจใคร่ติดตามอย่างยิ่ง
……………..
สุชาติ ศรีสุวรรณ