อย่าเป็นทาสวัตถุ และอย่ากลายเป็นวัตถุเสียเอง! : โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

เมื่อหลายปีก่อน ผมมีโอกาสได้รับฟังคำอธิบายจาก เจ้าคุณทองดี ซึ่งสมณศักดิ์ในขณะนั้นคือ พระธรรมกิตติวงศ์ แต่ปัจจุบันท่านเลื่อนขั้นเป็นระดับรองสมเด็จแล้ว ท่านแยกแยะให้เข้าใจว่า “กิเลส” นั้นไม่ใช่จะไม่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งกิเลสก็มีประโยชน์ต่อความอยู่รอดของชีวิต บอกให้เราแสวงหาสิ่งที่ดีมาให้แก่ร่างกาย

เช่น อยากรับประทานอาหารอร่อย อยากดมของหอมมากกว่าของเหม็นเน่า อยากมองสิ่งที่สวยงามสบายตาสบายใจ แต่เมื่อใดที่มีความอยากอย่างมากๆๆ จนไม่คำนึงถึงความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และยอมแลกด้วยความทุกข์ยากตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงขั้นแสนสาหัส ความอยากประเภทนี้แหละจึงจะเรียกว่า “ตัณหา”

ถ้าอยากได้ตำแหน่งเป็นนั่นเป็นนี่ เรียกว่า “ภวตัณหา” ตรงกันข้ามถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ไม่อยากเป็นผู้ต้องหา ไม่อยากเป็นจำเลยสังคมจะเรียกว่า “วิภวตัณหา” ผมจึงเกิดความกระจ่างและเชื่อตามที่ท่านสาธยายให้ฟังตั้งแต่บัดนั้น และเมื่อนำมาใคร่ครวญทบทวนดูก็รู้สึกว่าใกล้เคียงกับคำสอนข้อหนึ่งของปรมาจารย์ขงจื๊อ

คำสอนดังกล่าวประกอบด้วยอักษรจีน 4 ตัว คือ “君子不器” แปลความหมายได้ว่า “วิญญูชนต้องไม่เป็นทาสวัตถุสิ่งของ และไม่กลายเป็นวัตถุสิ่งของเสียเอง”

Advertisement

การตกเป็นทาสของวัตถุก็คือเป็นทาสของตัณหา หนักหนากว่าการเป็นทาสของวัตถุ ก็คือการกลายเป็นวัตถุ สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไม่ต่างอะไรกับผู้ที่เป็นทาสของ “ภวตัณหา” และ “วิภวตัณหา” เช่น บางคนที่ใส่หัวโขนจนถอดไม่ออก เมื่ออยู่ในที่ทำงานมีตำแหน่งมีอำนาจก็ต้องวางมาดแสดงให้สมบทบาท แต่เลิกงานแล้วอยู่กับญาติสนิทมิตรสหายก็ยังไม่วายติดอยู่ในบทบาทเดิมไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เวลายิ้มก็ดูเหมือนแค่ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า แววตาไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นความรู้สึกที่แท้จริงออกมาจากหัวใจ แม้ดูว่ามีกิริยามารยาทที่ดีแต่แข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์

ขึ้นชื่อว่าหุ่นยนต์ ต่อให้ใส่ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้าไป แม้จะเฉลียวฉลาดเพียงใดก็ไม่ใช่ “คน” อยู่ดี

เพราะถ้าเป็นคนแล้วก็ต้องมีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจ รู้จักเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น มีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาตามสมควรแก่กรณี

Advertisement

มีบางรายที่อาการหนักมาก ไม่เพียงแค่ตัวเองไม่ยอมถอดหัวโขน ยังบังคับคนรับใช้ที่บ้านให้เรียกชื่อเขาพร้อมด้วยตำแหน่งนำหน้าเสมอ เพราะเป็นตำแหน่งที่เจ้าตัวเฝ้ารอนาน เวลารับโทรศัพท์แทนที่จะบอกว่า “คุณ ก.ไก่” อยู่หรือไม่อยู่ ก็ต้องตอบว่า “ฝ่าย ก.ไก่อยู่ค่ะ” หรือ “ฝ่าย ก.ไก่ไม่อยู่ค่ะ”

คำว่า “ฝ่าย” ในที่นี้คือคำเรียกย่อๆ ของตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย ผู้จัดการฝ่าย หรือผู้อำนวยการฝ่ายอะไรสักอย่างหนึ่งขององค์กรใหญ่ระดับคับประเทศ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมได้รับฟังจากปากของผู้ที่เคยร่วมทำงานอยู่ในองค์กรดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องเล่าลือลอยๆ นี่คือตัวอย่างของผู้ที่สูญเสียความเป็นมนุษย์ แปรสภาพไปเป็น “ตำแหน่งเดินได้” โดยไม่รู้ตัว

ยังมีอีกหลายอาชีพที่ทำให้ความเป็นคนค่อยๆ สูญหายไป กลายเป็นเพียง “เครื่องจักรผลิตรายได้” ซึ่งไม่สนใจผิดชอบชั่วดี เหมือนดังสื่อมวลชนส่วนน้อยบางคนทั้งสื่อเก่าและสื่อออนไลน์ได้ผันตัวไปเป็น “มือปืนรับจ้าง” พร้อมจะใส่ร้ายป้ายสีคนที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีความโกรธแค้นใดๆ กันเลย เพียงเพราะมีผู้มาว่าจ้างให้ทำเช่นนั้น หรือบางรายยังไม่มีผู้ว่าจ้าง ก็สร้างเรื่องโจมตีผู้มีชื่อเสียงลงในเฟซบุ๊กของตน เพื่อให้มีคนติดตามอ่านกันมากๆ ใช้ความหายนะของผู้อื่นเป็นปุ๋ยเร่งความเด่นดังให้แก่ตนเองโดยไม่มีความละอายใจ เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว มีสภาพเป็นเพียงวัตถุ เป็นปืนกระบอกหนึ่ง เป็นดาบเล่มหนึ่ง ซึ่งมีภารกิจเข่นฆ่าทำลายเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ พวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นทาสวัตถุคือเงินทอง แล้วค่อยๆ กลายสภาพเป็นวัตถุไปเสียเองในที่สุด ช่างน่าอนาถใจจริงๆ

สังคมที่มนุษย์หมดสิ้นความเป็นมนุษย์ จะเป็นสังคมที่น่าอยู่ได้อย่างไร วิญญูชนทั้งหลายจึงพึงระวังตนและคนรอบตัว อย่าให้มัวเมาในวัตถุ จนกระทั่งกลายพันธุ์เป็นเพียงวัตถุที่ยังหายใจได้

ชีวิตนี้สั้นนัก… ช่วยกันหวงแหนรักษาความเป็นมนุษย์ไว้… จะได้ไม่เสียชาติเกิด!

ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image