ไม่มีอะไรในกอไผ่ : วีรพงษ์ รามางกูร

สัปดาห์กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ต้องถือว่าเป็นสัปดาห์ของข่าวเฮฮาสำหรับประเทศไทย เพราะเมื่อเป็นข่าวแล้วก็ได้เฮฮากันเป็นที่สนุกสนานกัน แต่ “ไม่มีอะไรในกอไผ่” แค่ทำให้บรรยากาศครื้นเครงดีและสามารถยึดพื้นที่หน้าหนึ่งในบรรดาหนังสือพิมพ์หัวสีได้ทุกฉบับเป็นที่ฮือฮากัน

เรื่องแรกเห็นจะเป็นเรื่องของนาฬิกาหรูของผู้มีรสนิยม นาฬิกาข้อมือระดับเศรษฐีที่ฮือฮากันมาก ไม่ใช่ไม่สมฐานะของผู้เป็นเจ้าของ เพราะทรัพย์สินไม่ได้มาจากรายได้เท่านั้น แต่อาจจะมีมรดก มีอย่างอื่นที่ถูกต้องมากมาย แต่ที่ฮือฮาก็เพราะไม่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินซึ่งต้องแจ้งอยู่หลายครั้ง แต่ก็จบลงด้วยการแจ้งกับ ป.ป.ช.ตามที่ทำหนังสือมาชี้แจงว่าเป็นของเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้วให้ยืมใส่ เพื่อนคนที่ว่าเป็นคนฐานะดี ชอบเหมานาฬิกาหรูมาให้เพื่อนยืมเป็นประจำ และได้คืนทายาทไปแล้วทั้ง 25 เรือน “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

เรื่องที่สองคงจะเป็นเรื่องเจ้าสัวบุกรุกที่สงวนพันธุ์สัตว์ป่าไปนั่ง “อึ” อยู่ใกล้ๆ กับซากเสือดำซึ่งเป็นสัตว์สงวน เสือดำได้ถูกลอกหนังไปหมักเกลือแล้ว เหลือแต่เนื้อและหาง แม่ครัวได้เตรียมเครื่องแกงกำลังจะนำไปปรุงอาหารจานเด็ด แข่งกับร้านจ่ามีเจ้าของร้านอาหารป่าที่เคยเป็นข่าวเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว แล้วเรื่องก็จางหายไป “ไม่มีอะไรในกอไผ่” เช่นเดียวกับกรณีทายาทเศรษฐีขับรถชนตำรวจ สน.หัวหมาก เสียชีวิต จนกลายเป็นข่าวฮือฮากันในต่างประเทศ แต่ “ไม่มีอะไรในกอไผ่” ในเมืองไทย

เรื่องที่สามที่เฮฮาสนุกสนานกันมากก็คือ ข่าวการแย่งกันเป็นเจ้าของสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 จำนวนเงินรางวัล 30 ล้านบาท ผู้ที่ถือสลากใบนั้นนำสลากไปขึ้นเงินแล้วนำเงินไปฝากธนาคาร แล้วเบิกมาใช้เพียง 5 ล้านบาท ยังอยู่ในบัญชีเงินฝากธนาคารอีก 25 ล้านบาท

Advertisement

ปรากฏว่ามีผู้ร้องเรียนกับผู้กำกับและผู้บังคับการจังหวัด ว่า สลากลอตเตอรี่เป็นของตนที่ทำหาย มีผู้ที่เก็บได้นำไปขึ้นเงินรางวัลที่ควรเป็นของตน ข่าวนี้สื่อมวลชนรู้มานานแล้วก่อนที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะโยนคดีมาที่กองปราบปราม แต่ก็ยังเล่นข่าวต่อไปไม่ยอมจบสักที ใครผู้ใดที่เป็นเจ้าของสลากตัวจริง จะเก็บเอาไว้ไปแถลงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่สื่อบางสื่อก็พาดหัวยักษ์ลงไปเรียบร้อยแล้วก่อนตำรวจจะแถลง ข่าวนี้ครองเนื้อที่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ให้ได้เฮฮากันอยู่เป็นเวลานานหลายสัปดาห์

ในที่สุดคงจะมีคนต้องโดนกล่าวหาเป็นคดีอาญากันบ้าง แต่ถึงตามนั้น ผู้คนคงหมดความสนใจไม่เฮฮากลายเป็น “ไม่มีอะไรในกอไผ่” ก็ได้

ข่าวเฮฮาเรื่องที่สี่ จะต้องยกให้ข่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ที่อยู่ๆ ก็กล่าวในงานสัมมนาในสุนทรพจน์ตอนเปิดงานว่า “ถ้าผมถูกเปิดโปง เรือนแรก ผมก็ลาออกแล้ว” หลายคนนึกว่าเอาแล้วซิ อย่างนี้ต้องมีโผให้ออกมาพูดหรือมิฉะนั้นก็ต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจ แต่พอเข้าไปพบนายกฯ แล้วออกมาให้สัมภาษณ์ว่าต้องไปชี้แจง ขอโทษนายกฯและขอโทษรองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหมเจ้าของนาฬิกาหรูด้วย เช่นเดียวกันผู้ที่ถูกพูดถึงก็ใจเย็น ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ทำให้น่าเกรงขามมากขึ้น แต่คง “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

Advertisement

เรื่องต่อไปที่เป็นข่าวฮือฮากันในวงเหล้าการเมืองก็คือ เรื่องที่ ผบ.ทบ.ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลอยู่มานานแล้วประชาชนเขาเบื่อ จึงเกิดขบวนการคนอยากเลือกตั้งขึ้น แต่ก็ยังเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกระจัดกระจาย เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลแพ่ง

ที่ฮือฮาและเฮฮากันก็เพราะการชุมนุมเรียกร้องอะไรก็ตามที่ออกมานอกถนน นอกเหนือจากเป็นการชุมนุมของ กปปส.แล้วก็จะเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงหรือกองทัพจะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่คราวนี้ออกมาปกป้องอย่างหน้าตาเฉย แม้ภายหลังจะออกมาแก้ข่าว แต่ข่าวก็เป็นข่าวให้ได้ฮือฮากันไปแล้ว เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ผบ.ทบ.ซึ่ง อยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีกลาโหมและนายกรัฐมนตรี จะกล้าออกมาพูดเช่นนั้นว่า “อยู่นานแล้ว ประชาชนเขาเบื่อ” แต่จะให้เชื่อว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่” ก็เชื่อว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

ข่าวที่เป็นที่สนใจอีกข่าวก็คือข่าวจับอาวุธโกตี๋ ที่ฮือฮาก็คือ โกตี๋นั้นเป็นผู้ต้องหาที่มีชีวิตยาวนาน สามารถสะสมอาวุธได้เป็นจำนวนมากและในหลายสถานที่ แม้จะมีข่าวว่าโกตี๋ข้ามไปซ่อนตัวอยู่ในประเทศลาว แต่ไม่รู้ว่าอยู่บ้านใดแขวงใด เมื่อโกตี๋อยู่ในลาว อาวุธที่ตรวจพบจึงเป็นของลูกน้องโกตี๋ ฟันธงในทันทีว่าเกี่ยวพันกับการเมือง ไม่ได้จัดฉาก เพื่อให้ข่าวนี้ไปกลบข่าวอื่น ผู้สื่อข่าวก็ไม่ต้องกลัวตกงาน เพราะจะมีข่าวสำคัญๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอและจบลงด้วย “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

ที่น่าสนใจก็คือข้าราชการที่เกี่ยวข้องสามารถนำหลักฐานเท็จมาเบิกเงินช่วยเหลือคนยากจนคนยากไร้เอาไปใช้ แสดงให้เห็นถึงความสะเพร่าหละหลวมของกระทรวงการคลังในการเบิกจ่ายเงินหลวง รวมทั้งการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ว่าระเบียบการเบิกจ่ายเงินหละหลวม ไม่ได้ระแคะระคายเลย จนมีคนที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่ไหวนำเรื่องมาเปิดเผย เรื่องจึงแดงขึ้นมา คงจะเทียบได้กับเงินทอนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ร่วมมือกับเจ้าอาวาสและกรรมการวัดเบิกจ่ายเงินเพื่อการบูรณะซ่อมแซ่มวัด แต่ในที่สุดวัดได้เงินเพียงร้อยละ 10-30 ส่วนร้อยละ 70-90 กลายเป็นเงินทอน แบ่งกันระหว่างข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เจ้าอาวาสและกรรมการวัด เงินภาษีอากรที่นำไปช่วยเหลือคนเจ็บผู้ยากไร้ หรือแม้แต่เงินบูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามศาสนสถาน หรือเงินอุดหนุนการศึกษาปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสามเณร นักธรรมตรี โท เอก ซึ่งบริหารจัดการโดยพระภิกษุสงฆ์ คนดี คนวัด ก็ไม่สามาถรอดพ้นจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงไปได้

เป็นเรื่อง “ไม่มีอะไรในกอไผ่” ให้เราพบเห็นได้อยู่เสมอและบางครั้งก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

เรื่อง “ไม่มีอะไรในกอไผ่” ระดับโลกก็มีให้เห็นอยู่เสมอ เมื่อเร็วๆ นี้ก็เป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็สร้างนิยายเรื่อง นายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือกำลังสร้างขีปนาวุธระยะไกล สหรัฐอเมริกาจะต้องบุกเกาหลีเหนือเพื่อเข้าไปจับตัวประธานาธิบดีคิม จองอึน ลูกชายประธานาธิบดีคิม จองอิล หลานประธานาธิบดีคิม อิล ซุง บิดาผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือ ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ที่เคยบุกเกาหลีใต้โดยการสนับสนุนจากจีนคอมมิวนิสต์ จนสหประชาชาติต้องส่งกองกำลังผลักดันให้ถอยร่นกลับขึ้นไปเหนือเส้นขนานที่ 38 ทหารไทยเข้าร่วมรบในนามของกองกำลังสหประชาชาติด้วย จนมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความกล้าหาญ

ต่อมาก็ “ไม่มีอะไรในกอไผ่” เพราะเกาหลีเหนือไม่มีขีดความสามารถในการผลิตอาวุธร้ายแรงขนาดนั้นได้ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นลูกคู่กับสหรัฐอเมริกาก็หยุดโวยวาย เกาหลีใต้ก็รับนักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวจากเกาหลีเหนือเข้ามาแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในขบวนพาเหรดธงชาติเกาหลีเหนือก็โบกสะพัดอยู่เหนือสนามกีฬาแห่งชาติของเกาหลีใต้ เหมือน “ไม่มีอะไรในกอไผ่” เพราะเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้เขาไม่ได้โกรธกันขนาดนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งนิยายเรื่องนี้ไม่สำเร็จ

ที่ใกล้ๆ บ้านเราคือประเทศพม่า ชาวโรฮีนจาเคยลงเรือมาขึ้นบกที่เมืองไทย โดยใช้เรือประมงของไทยบ้าง มลายูบ้าง มาขึ้นฝั่งในเมืองไทย ในที่สุดก็พบว่ามีนายทหารชั้นนายพลอยู่เบื้องหลัง กระทำการอย่างโหดร้ายทารุณถ้าไม่มีเงินจ่าย เรื่องก็เงียบไป

“ไม่มีอะไรในกอไผ่”

ชาวโรฮีนจานั้นโชคร้ายต้องอพยพจากรัฐยะไข่ของพม่า ข้ามน้ำข้ามทะเลไปลี้ภัยที่บังกลาเทศจำนวนมากกว่า 5 แสนคน หรือกว่าครึ่งล้าน อยู่พม่าชาวพุทธพม่าก็ไม่ชอบมุสลิม ไปอยู่บังกลาเทศซึ่งเป็นประเทศมุสลิมชาวบังกลาเทศก็ไม่ชอบชาวโรฮีนจา เพราะเป็นคนละเชื้อชาติ คนละชาติพันธุ์ ในที่สุดก็คงจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ จะเดินทางไปประเทศที่สามก็คงไม่มีใครรับ เรื่องผู้อพยพก็ควรจะเป็นธุระของสหประชาชาติ แต่เนื่องจากปัญหาคนอพยพจากตะวันออกกลางก็กำลังเป็นปัญหาของยุโรปหลายประเทศ ขณะเดียวกันคนอพยพจากเม็กซิโก ก็กำลังเป็นปัญหาอยู่ที่อเมริกา จน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีจะของบประมาณจากรัฐสภาสร้างกำแพงกั้นระหว่างเม็กซิโกกับอเมริกา ไม่รู้ว่าทำไปถึงไหนแล้ว และประกาศจะไม่ให้วีซ่าเข้าอเมริกาแก่ประชาชนในประเทศตะวันออกกลางที่มีผู้ก่อการร้ายเข้าไปในสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางการคัดค้านจากหลายฝ่าย ใครจะทำไม “ไม่เห็นมีอะไรในกอไผ่”

นอกนั้นประธานาธิบดีทรัมป์ ยังประกาศลดภาษีเงินได้นิติบุคคลครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำให้งบประมาณซึ่งขาดดุลอยู่แล้วจะขาดดุลมากยิ่งขึ้น หนี้ของรัฐบาลกลางซึ่งมีจำนวนสูงมากอยู่แล้ว ทำให้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายที่มากอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก ยอดหนี้ของรัฐบาลกลางก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก เป็นการดึงเอารายได้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน การขาดดุลที่มากขึ้นจะทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากยิ่งขึ้น สร้างความกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์ต่ำลงเมื่อเทียบกับสกุลอื่น อันจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อในอนาคตสูงขึ้นถ้าราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น แต่คนอเมริกันก็ชอบใจไม่มีใครค้านเหมือน

“ไม่มีอะไรในกอไผ่”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image