ซีอีโอ โรบอต : หุ่นยนต์ผู้บริหาร โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์

บางคนอาจจะพอจำได้ว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาในที่ประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ครั้งที่ 46 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีการนำเสนอรายงานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่คาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 ตำแหน่งงานมากกว่า 5 ล้านตำแหน่งจะต้องสูญเสียไปให้กับหุ่นยนต์ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานที่เป็นผลมาจากปัญญาประดิษฐ์

โดยงานส่วนใหญ่ที่จะสูญเสียไปนั้นจะเป็นงานของพวกคนงานคอปกขาว หรือนัยหนึ่งคืองานสำนักงาน ซึ่งไม่ได้เป็นงานที่ต้องการทักษะอะไรมากนัก เช่น งานเสมียน หรือการจัดการในสำนักงาน นอกจากนั้นยังทำนายไว้ด้วยว่า ราวๆ 70 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมตอนนี้ ต่อไปจะไปทำงานในตำแหน่งงานหรือลักษณะงานที่ไม่เคยมีปรากฏอยู่เลยในเวลานี้

การคาดการณ์ครั้งที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่มาเร็วกว่าที่เคยคาดกันไว้ ส่วนหนึ่งเพราะพัฒนาการของเทคโนโลยีมีความรวดเร็วในอัตราเร่ง บางอย่างดูเหมือนช้าแต่มันไม่ได้ช้าเลย บทความชิ้นหนึ่งใน venturebeat.com ยกตัวอย่างไว้ว่า ในปี 2004 หรือย้อนหลังไปประมาณ 12 ปีก่อน สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงแห่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (DARPA) จัดการแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับ ผลที่ออกมารถยนต์ไร้คนขับที่ดีที่สุดแล่นไปได้ไม่ถึง 8 ไมล์ด้วยซ้ำก็ประสบกับปัญหา ไม่มีคันไหนที่แล่นไปได้ตลอดเส้นทาง

เทียบกับรถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลใน 8 ปีให้หลังที่แล่นไปได้ถึง 300,000 ไมล์ โดยไม่ประสบอุบัติเหตุใดๆ และถึงตอนที่เรากำลังหายใจกันอยู่ตอนนี้ รถยนต์ไร้คนขับบางประเภทพร้อมวิ่งให้บริการแล้ว ส่วนของกูเกิลนั้น รอเวลาที่จะได้รับอนุมัติให้วิ่งได้บนท้องถนนทั่วไป

Advertisement

หรืออีกเรื่องหนึ่งคือชัยชนะของอัลฟาโกะต่อลี เซดอล เซียนหมากล้อมของโลก หากย้อนไปเมื่อคราวดีพบลูของไอบีเอ็มเอาชนะแกรี แคสปารอฟ แชมป์หมากรุกโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เวลานั้น คาดการณ์ว่า กว่าปัญญาประดิษฐ์จะสามารถเอาชนะมนุษย์ได้ในการเล่นหมากล้อมต้องใช้เวลาอีกราวๆ หนึ่งร้อยปี แต่ผ่านไปเพียง 20 ปี ปัญญาประดิษฐ์ก็ทำได้แล้ว

ไม่เพียงแต่คาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องของเวลาเท่านั้น งานที่หุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาทดแทนมนุษย์หลายๆ อย่างก็ผิดไปจากที่คาดกันไว้ไม่น้อยเช่นกัน งานหลายอย่างที่ไม่คิดมาก่อนว่าหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติจะเข้ามาทดแทนสิ่งที่มนุษย์ทำได้ ก็กลับตาลปัตรไป

งานที่บทความชิ้นนี้ชี้เอาไว้และคนส่วนใหญ่อาจจะคาดไม่ถึงก็คืองานบริหาร ในตำแหน่งซีอีโอ หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในบริษัทแบบอเมริกัน ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องกำหนดทิศทางของบริษัท เป็นผู้ตัดสินใจสูงสุดของบริษัท แต่เราจะพบว่างานของซีอีโอเริ่มถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อยๆ

Advertisement

บทบาทในการตัดสินใจด้านต่างๆ ค่อยๆ ถูกโอนย้ายไปสู่เครื่องจักรที่อยู่บนพื้นฐานของดาต้า แอนาลิติกส์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ที่รวบรวมข้อมูลในทุกด้านของการทำงาน รวมทั้งข้อมูลทางการเงินของบริษัทเอาไว้ในตัวมัน

หุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องจักรที่มุมมองครบถ้วนรอบด้านกว่ามนุษย์ ซึ่งมีจุดอ่อนในการตัดสินใจ เพราะสมองมนุษย์บรรจุข้อมูลได้ไม่ครอบคลุมครบถ้วนเท่าเครื่องจักร และยังมีอคติหรือความรักชอบชังปะปนอยู่ในการตัดสินใจ ขณะที่หุ่นยนต์ไม่มีเรื่องตรงนี้ มันจึงสามารถตัดสินใจได้ดีกว่า มันจัดสรรทรัพยากรได้เก่งกว่าจากฐานข้อมูล คำนึงถึงตัวแปรรอบด้านกว่ามนุษย์

ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าในอนาคต ซีอีโอของเราจะกลายเป็นซีอีโอโรบอตก็อย่าได้แปลกใจ เว้นแต่ซีอีโอนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่ยังอยากเป็นซีอีโออยู่ แต่ซีอีโอที่เป็นเพียงลูกจ้างนั้น โอกาสที่จะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์หรืออัลกอริทึม แมเนจเมนต์นั้นมีอยู่แน่นอน

คนที่จะตัดสินใจว่าจะใช้ซีอีโอที่เป็นคนหรือหุ่นยนต์คือเจ้าของบริษัท ผู้ลงทุนหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ วันใดก็ตามที่เห็นว่าใช้หุ่นยนต์คุ้มค่ากว่า วันนั้นเก้าอี้ซีอีโอก็สั่นสะเทือนได้

ปัจจุบันนี้มีบางบริษัทในต่างประเทศที่เริ่มมีแนวทางใหม่ๆ ไม่มีผู้นำที่ศูนย์กลาง หรือที่นิยามแตกต่างออกไป บทความใน venturebeat.com ยกตัวอย่างบริษัท วาล์ว ซอฟต์แวร์ ที่ไม่มีผู้บริหารหรือนาย โดยในคู่มือพนักงานของบริษัทระบุไว้สั้นๆ ว่า “ไม่มีใครต้องรายงานกับใคร เรามีผู้ก่อตั้ง/ประธาน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้บริหารของคุณ”

หรือบริษัท Crisp ในสวีเดนที่มีคนอยู่ราวๆ 30 คน แต่ไม่มีใครมีสถานะเป็นลูกจ้างที่แท้จริง ไม่มีผู้จัดการ ไม่มีแม้กระทั่งซีอีโอ การจัดสรรหน้าที่การงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้จัดการ แต่เป็นไปตามงานที่เกิดขึ้น

ถึงตรงนี้ หากยังจะมีซีอีโอที่เป็นมนุษย์ก็คงเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือโฆษกของบริษัท เพราะการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ไปอยู่ที่หุ่นยนต์แทน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image