จิตวิวัฒน์ เรื่อง ปวดกาย ใจไม่ทุกข์ โดย : พระไพศาล วิสาโล

คราวหนึ่งอาตมาพาคนเดินจงกรม โดยถอดรองเท้าเดินบนถนน เป็นถนนลาดยางก็จริงแต่ยางกร่อนจนกรวดหินโผล่ขึ้นมาตลอดทาง หลายคนพอเดินสักพักก็ร้องว่าปวดๆ บางคนเพียงแค่เห็นถนนข้างหน้า เห็นกรวดโผล่มา ก็มีอาการทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเหยียบ เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ขนลุก เพราะกลัวว่าจะเจ็บ เดินเสร็จ ถามว่าเขารู้สึกอย่างไร คำตอบคือ “ปวดเท้า ปวดมากเลย” ถามว่ามีแค่นั้นเหรอ แค่ปวดเท้าเท่านั้นเหรอ พอให้เขาสังเกตอีกที ก็พบว่ามีอีกอย่างคือ ใจมันทุกข์ ใจมันกลัว ที่จริงมีมากกว่านั้น ใจมันพยายามผลักไส ไม่ยอมรับอาการที่เกิดขึ้น แถมยังบ่นโวยวาย มันบ่นว่าทำไมต้องมาเดินตรงนี้ ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวๆ แล้ว ทำไมไม่ไปเดินที่อื่น มันมีเสียงร้องอยู่ในใจซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมตัวเองเข้าไปใหญ่

ลองสังเกตเห็นใจที่กำลังบ่นโวยวายเวลาเท้าเหยียบหิน อย่าไปจดจ่ออยู่ที่เท้าหรือจดจ่อตรงจุดที่ปวด ให้มาสังเกตดูใจของเรา ขณะที่เท้าเหยียบหินก็มีสติดูใจ แล้วจะเห็นเองว่า ใจมันบ่น ใจมันโวยวาย เห็นความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น แค่เห็นก็เพียงพอที่ใจจะกลับมาเป็นปกติ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ต้องผลักไสมัน เป็นไงเป็นกัน พอใจมันยอมรับได้ก็จะเห็นเลยว่าความทุกข์มันลดลง ความปวดไม่ได้ลดลงนะ แต่ความทุกข์ลดลง หลายคนพบว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

วันรุ่งขึ้นมาเดินใหม่ อาตมาก็แนะอีกว่า ให้มีสติดูใจ เท้าเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของเท้าแต่ให้มาดูใจ มีอาจารย์ผู้หนึ่งอายุเจ็ดสิบ เขาบอกหลังจากเดินเสร็จว่าเช้านี้รู้สึกใจโล่ง มันโล่งที่ใจ ความปวดเท้ายังมีอยู่แต่ใจมันโล่ง สามารถเดินได้เป็นปกติ พอความทุกข์ใจลดลง ความปวดก็กลายเป็นสิ่งที่ทนได้ เขาพบด้วยตัวเองว่าจริงๆ แล้วความทุกข์กายนี่นิดเดียว แต่ความทุกข์ใจต่างหากที่มันเป็นปัญหา แล้วความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นจากการไม่มีสติ หลง ไม่รู้ตัว ที่จริงความปวดส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่เกิดจากการที่จิตไปปักตรึงอยู่ตรงที่ปวด ใครๆ ก็ไม่ชอบความปวด แต่ว่าใจชอบปักอยู่ตรงที่ปวดนั่นแหละ ปวดตรงไหนเจ็บตรงไหนใจก็จะไปจดจ่ออยู่ตรงนั้นแหละ สังเกตไหม

แปลกนะ เราไม่ชอบอะไร แต่ใจกลับจดจ่ออยู่แต่ตรงนั้น เราไม่ชอบความหนาว แต่ตรงไหนที่หนาว ใจเราจะไปจดจ่อ ร่างกายเรามีเสื้อผ้าห่มคลุมอยู่เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของร่างกาย มีแค่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ไม่มีอะไรคลุม จึงรู้สึกหนาว ถามว่าใจเราไปอยู่ตรงไหน ไปจดจ่ออะไร มันจะไปจดจ่อตรงส่วนที่หนาว จะเป็นที่หัว หรือที่มือก็แล้วแต่ แล้วก็บ่นว่าหนาวๆ ในเมื่อหนาว ไม่ชอบความหนาว ทำไมไม่เอาใจไปจดจ่อตรงที่มันอุ่น เคยสงสัยไหม ทำไมใจเราไม่ไปอยู่ตรงบริเวณที่อุ่นอย่างบริเวณหน้าอก ตรงนั้นแหละอุ่น แต่ทำไมใจไม่ไปจดจ่อ ทำไมใจไปจดจ่ออยู่ตรงส่วนที่หนาวซึ่งเป็นเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์ของร่างกาย

Advertisement

คนไม่ค่อยสังเกตและไม่ตั้งคำถามว่า ทำไมใจไม่ไปอยู่ตรงที่ปกติหรือสุขสบาย ทำไมไปอยู่ตรงที่มันทุกข์ มันก็เหมือนกับชีวิตของคนเราที่มีทั้งสุขและทุกข์ บางทีสุขมากกว่าทุกข์ด้วย แต่ว่าเวลาเรานึกถึงอดีต เรามักจะนึกถึงแต่อดีตที่เจ็บปวด ประสบการณ์ที่เลวร้าย ความผิดหวังหรือความล้มเหลว การถูกต่อว่าด่าทอ ส่วนที่ดีไม่สนใจ ส่วนที่ผิดพลาด ไม่ดี เป็นทุกข์ กลับจดจ่ออยู่ตรงนั้นแหละ เป็นเพราะอะไร

ในทำนองเดียวกัน เวลาเดินเหยียบหินหรือโดนหนามทิ่ม หรือถูกไฟ ถูกน้ำร้อนลวก มันก็เป็นแค่จุดเล็กๆ หรือส่วนน้อยในร่างกายที่เป็นทุกข์ ขณะที่อีกเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ไม่ได้เป็นทุกข์เลย เป็นปกติ แต่ถามว่าใจไปอยู่ไหน ใจมันก็ไปอยู่ตรงที่ทุกข์ จดจ่ออยู่นั่นแหละ แล้วเราก็เอาแต่บ่นว่า ร้อน เจ็บ หนาว ไม่ไหวแล้วๆ ก็ในเมื่อตรงนั้นเจ็บตรงนั้นปวดแล้วไปจดจ่อทำไม ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะใจเราชอบซ้ำเติมตัวเอง มันไวต่อความทุกข์มากทั้งที่จริงควรจะไวต่อความสุข

สาเหตุที่ใจเราไปจดจ่อตรงนั้นเพราะอะไร เพราะอยากจะผลักไส เราไม่ชอบความปวดจึงพยายามผลักไสมัน แต่กลับกลายเป็นการยึดติดไป ยิ่งผลักไสก็ยิ่งยึดติด แล้วก็ยึดต่อ เมื่อจดจ่อก็ยิ่งปวด เป็นทุกข์ จึงโวยวาย โอดครวญ ไม่ชอบความปวด แต่กลับไปยึดเอาความปวดของกาย มาเป็นความปวดของใจ

Advertisement

เราทุกข์เพราะใจเราจดจ่อหรือแบกยึดเอาไว้ ก็ในเมื่อไม่ชอบมัน ไปแบกมันทำไม ในเมื่อหนามแหลมทำไมจึงเอามือไปทิ่มแล้วทิ่มอีก ร้อนตรงไหนก็ควรพยายามหนีห่าง แต่ว่าใจกลับเข้าไปจดจ่อคลอเคลียแล้วก็บ่นว่าร้อนๆ ทำไมมันร้อนอย่างนี้ แต่เราไม่เคยถามตัวเองว่า แล้วเอาใจไปจดจ่ออยู่ตรงนั้นทำไม ทำไมจึงไปแบกไปยึดมันเอาไว้ เคยถามบ้างไหม เคยสังเกตบ้างหรือเปล่า

ถ้าเราสังเกตก็จะพบว่า เป็นเพราะใจมันหลง ไม่มีสติ ก็เลยมัวจดจ่ออยู่ตรงที่มันหนาว ตรงที่มันปวด ทั้งๆ ที่ตรงอื่นมีตั้งเยอะแยะที่ไม่หนาวไม่ปวด เป็นเพราะเราไม่มีสติ เป็นเพราะความหลงนี่แหละที่ทำให้เราซ้ำเติมตัวเอง ทำให้ใจหาเรื่องมาใส่ตัว เมื่อเป็นแบบนี้เราไม่ต้องทำอะไรมาก ยังไม่ต้องทำอะไรกับความร้อนความหนาว เพราะบางครั้งเราก็ทำอะไรไม่ได้กับความร้อนความหนาว แต่มีอย่างหนึ่งที่เราทำได้คือ ทำใจของเรา แค่ดึงใจของเราออกมา อย่าไปจดจ่ออยู่ตรงที่หนาวที่ปวด แทนที่จะยึดหรือแบกความหนาวความปวด ก็แค่วางมันลงซะ มารับรู้ตรงบริเวณที่สบายๆ ไม่เช่นนั้นก็มาดูใจที่กำลังบ่นโวยวาย ขอให้ตระหนักว่า เราไม่ได้ทุกข์ใจเพราะอากาศหนาว แต่ทุกข์ใจเพราะไปยึดความหนาวของกายเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามผลักไสมัน แต่เมื่อผลักไม่ไปก็เลยจดจ่อ ยิ่งผลักก็ยิ่งจดจ่อ ยิ่งจดจ่อก็ยิ่งทุกข์

ลองทำใจเป็นกลางๆ ดู แค่รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปทำอะไรกับความร้อน ความหนาว ความปวดที่เกิดกับกาย แค่รู้เฉยๆ เห็นความปวด ไม่เป็นผู้ปวดอย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “เห็น อย่าเข้าไปเป็น” อากาศหนาวมันเป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกดูใจว่า เราเห็นหรือเข้าไปเป็น แล้วถ้าไม่เห็นเมื่อไหร่ ก็เข้าไปเป็นเมื่อนั้น พอเป็นเมื่อไรก็ทุกข์ใจทันที บ่นในใจว่าหนาวๆ ไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าเรามีสติ เห็นมันเมื่อไหร่ เราก็จะรู้ว่าความหนาวไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เราทุกข์ การเข้าไปเป็น หรือการเข้าไปยึดต่างหากที่ทำให้ทุกข์

ความเจ็บความปวดของกายก็เหมือนกัน มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ แต่ที่ทุกข์ใจก็เพราะมันเข้าไปเป็นผู้ปวด ใจมันเข้าไปแบกยึดความปวดเอาไว้ว่าเป็นตัวกูของกู หรือปรุงตัวกูขึ้นมาเป็นผู้ปวด รู้สึกว่าตอนนี้มีตัวกูขึ้นมาเป็นผู้หนาว ตัวกูนี้มันไม่มีจริงนะ แต่มันถูกปรุงขึ้นมา ใจเมื่อไม่มีสติจะปรุงตัวกูขึ้นมาเป็นผู้หนาว ลองฝึกดูว่าเราจะเห็นความหนาวได้อย่างไรโดยไม่เป็นผู้หนาว เห็นความทุกข์ได้อย่างไรโดยไม่เป็นผู้ทุกข์ ความทุกข์มีนะ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่

พระไพศาล วิสาโล
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image