ขาดความมั่นใจอีกแล้ว โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

การประท้วงทางการเมืองขนาดใหญ่เพื่อต่อต้านรัฐบาลในบ้านเราช่วง 10 ปีมานี้ น่าสังเกตว่าเป้าหมายของแกนนำม็อบทั้งเสื้อเหลือง ทั้งนกหวีด ก็คือ การต่อสู้เพื่อให้หยุดระบอบประชาธิปไตย เรียกร้องให้กองทัพเข้ามาจัดการควบคุมการเมือง

จนกล่าวกันว่า เป็นช่วงของการลุกฮือโดยฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมืองหรือฝ่ายขวา

ประท้วงใหญ่ในช่วงปี 2548 นำมาสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ต่อมาประท้วงใหญ่ในปลายปี 2556 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 นำมาสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

Advertisement

อาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มาจากการรัฐประหาร 2549 นั้น ยังไม่สามารถควบคุมฝ่ายพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามได้อยู่หมัด

เลยต้องมีรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งระดมสารพัดกลวิธีเพื่อทำให้พรรคการเมืองที่เป็นเป้าหมาย ต้องเดี้ยงให้ได้

ถ้านับจากการรัฐประหารในปี 2557 จนบัดนี้ รัฐบาลทหาร คสช.อยู่ในอำนาจยาวนานเกือบ 4 ปีแล้ว ทั้งเขียนกฎกติกาต่างๆ เพื่อทำให้ประเทศนี้อยู่ในกรอบของฝ่ายอนุรักษนิยมได้อย่างหนาแน่นมั่นคงที่สุดแล้ว

Advertisement

ความจริงน่าจะเป็นห้วงเวลาที่ฝ่ายขวาในบ้านเรา จะรู้สึกมีความสุข มีความสบายใจมากที่สุด

น่าจะเชื่อมั่นได้ว่า บ้านเมืองเราจะโดนแช่แข็งกับการเมืองแบบถอยหลัง ไม่ก้าวไปสู่ประเทศเสรีประชาธิปไตยได้อีกนานโขทีเดียว

แต่พอเกิดพรรคการเมือง “อนาคตใหม่” โดยนักธุรกิจรุ่นใหม่จับมือกับนักวิชาการรุ่นใหม่ 

เหล่าขวาจัดสุดโต่งพากันหมดความสุข ลุกออกมาโถมถล่มโจมตีพรรคการเมืองใหม่ ด้วยท่วงทำนองแบบล้าหลัง

ใช้วิชามารสารพัด งัดข้อหาเรื่องสถาบันชั้นสูง เรื่องศาสนา ออกมากล่าวหาอย่างหน้ามืดตามัว

บ้างก็ประกาศจะตามไล่ล่าเอาชีวิตอย่างป่าเถื่อน

อาการของฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ดูเหมือนจะเริ่มขาดความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง

เริ่มหวั่นไหวว่า ออกกฎกติกาขนาดนี้แล้ว เอาเข้าจริงๆ ผลการเลือกตั้งจะทำให้พรรคขั้วตรงข้ามสามารถชนะได้เกิน 200 เสียงหรือถึง 250 เสียงหรือไม่

ทำไมยังมีพรรคแนวใหม่ของฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากมายขนาดนี้

พอขาดความมั่นอกมั่นใจ ก็เลยเริ่มไม่อยากจะให้มีเลือกตั้งกันอีกแล้ว

ยิ่งโรดแมปของ คสช.นั้น ยืดได้หดได้ หลายรอบมาแล้วด้วย เข้าทำนองก็ถ้าจะเลื่อนอีกไม่เห็นต้องแคร์อะไร

คงลืมมองไปว่า บ้านเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมายาวนานถึง 4 ปีแล้วนี้ ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด ไม่มีอะไรพัฒนาก้าวหน้า ทำให้ประเทศเริ่มล้าหลังกว่าชาติใดในอาซียน

สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ส่งผลต่อธุรกิจการค้าและปากท้องชาวบ้านขนาดไหน

ที่สำคัญ ประเทศไหนที่ไม่มีการเลือกตั้ง ก็จะเป็นประเทศที่ไม่มีอนาคตใดๆ

อีกทั้งประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง คือระบอบที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองได้

ยกเว้นแต่พวกทาสที่ปล่อยไม่ไปเท่านั้นแหละ ที่ห่วงว่าฝ่ายเสรีนิยม ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย จะกลับมามีอำนาจได้

จนยอมขอเป็นประชาชนที่ให้คนหยิบมือเดียวเป็นรัฐบาลปกครองต่อไป ตัวเองไม่ต้องมีสิทธิมีเสียงอะไรก็ได้

…………..

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image