กฎแห่งกรรม โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์(แฟ้มภาพ)

ความจริงเรื่องการมีกิ๊กของบุคคลชั้นนำทางการเมืองในโลกนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไรเลย เพราะว่าบรรดาผู้นำทางการเมืองทุกคนก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาเรานี่เอง ต่างก็มีความต้องการทางเพศด้วยกันทั้งนั้น แต่มีความแตกต่างกันก็ตรงเรื่องของบรรทัดฐาน (norm) ของแต่ละประเทศ ซึ่งบรรทัดฐานคือ ตัวกำหนดตามพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของบุคคลในสังคม ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าในสถานการณ์นั้นๆ บุคคลควรปฏิบัติเช่นใดบ้าง ซึ่งพฤติกรรมจะอยู่ในแนวเดียวกันคือ ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คนไทยไม่ยกเท้าขึ้นวางบนโต๊ะเพราะถือว่าไม่สุภาพ แต่คนอเมริกันมักยกเท้าขึ้นวางบนโต๊ะเป็นปกตินิสัย หรือการเป็นชู้หลังแต่งงานในประเทศตะวันตก (รวมทั้งประเทศไทยด้วย) ไม่มีโทษทางอาญา แต่ในหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางมีโทษถึงตายก็มี

สำหรับบรรทัดฐานที่ว่าเหล่านี้นั้นมีทั้งการลงโทษทางสังคม อาทิ การดูหมิ่นเหยียดหยาม การกีดกันรังเกียจ การไม่ต้อนรับ การตัดออกจากพวกโดยไม่คบค้าสมาคมด้วย ฯลฯ และการลงโทษทางกฎหมาย

ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ในการมีกิ๊กของผู้นำทางการเมืองสองประเทศคือ ฝรั่งเศสกับสหรัฐอเมริกา กล่าวคือ ในประเทศฝรั่งเศสมีบรรทัดฐานว่า “นักการเมืองคือผู้อาสามาทำงานทางการเมืองโดยมาบริหารประเทศ ดังนั้น หากนักการเมืองสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องนักการเมืองมีกิ๊กนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว ประชาชนไม่ได้เลือกพระสงฆ์องค์เจ้าเข้ามาบริหารประเทศ ดังนั้น เรื่องการมีกิ๊กของผู้นำทางการเมืองของประเทศฝรั่งเศส สื่อมวลชนของฝรั่งจึงไม่ให้ความสนใจแต่อย่างใด ดังนั้น เรื่องส่วนตัวของบรรดาผู้นำทางการเมืองเกี่ยวกับกิ๊ก เกี่ยวกับเซ็กซ์ เกี่ยวกับครอบครัว เป็นเรื่องดราม่าสนุกสนานเผ็ดร้อนยิ่งนักทุกคนไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งก็ไม่เป็นอะไรหากไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารประเทศก็แล้วกัน (หากท่านผู้อ่านที่เคารพสนใจ ผู้เขียนอาจจะเขียนเรื่องอย่างนี้ของบรรดาผู้นำทางการเมืองฝรั่งเศสในปัจจุบันมาให้อ่านให้ขนลุกกันบ้างก็ได้ เพราะเป็นเรื่องแบบดราม่าที่น่าตื่นเต้นทั้งสิ้น)”

แต่สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกานั้น norm ในเรื่องสถาบันครอบครัวนั้นเข้มแข็งมาก แม้ชายหญิงจะมีประเพณีออกไปเที่ยวด้วยกันแบบสองต่อสอง (date) อย่างอิสระและการไปเที่ยวกันแบบนี้ก็เปลี่ยนคู่กันได้อย่างเสรี แต่เมื่อได้แต่งงานอย่างเป็นทางการแล้วการซื่อสัตย์ต่อกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การมีกิ๊กนี่เป็นเรื่องที่จะต้องหย่าร้างกันเกือบจะแน่นอนในทุกครอบครัวเลยทีเดียว ดังนั้น บรรทัดฐานที่เข้มแข็งนี้จึงมีอิทธิพลต่อสถาบันการเมืองในความเชื่อที่ว่า นักการเมืองที่มีกิ๊กนั้นยังบริหารครอบครัวของตนเองไม่ได้ เนื่องจากปราศจากความซื่อสัตย์ต่อคู่ครองแล้วจะบริหารประเทศได้อย่างไร

Advertisement

ดังนั้น บรรดานักการเมืองอเมริกัน (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) หากถูกจับได้ว่ามีกิ๊กก็มักจะหมดอนาคตทางการเมืองไปทุกคน เนื่องจากไม่มีใครเลือกตั้งเข้าไปบริหารบ้านเมืองนั่นเอง

วันนี้ผู้เขียนตั้งใจจะเขียนเรื่อง “คดีลูวินสกี” อันโด่งดังที่ยังคงจดจำได้ไม่ลืมคือ คดีที่ น.ส.โมนิกา ลูวินสกี อดีตเจ้าหน้าที่ฝึกงานในทำเนียบขาวกับประธานาธิบดี บิล คลินตัน ที่แอบมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยที่บิล คลินตัน แต่งงานมีครอบครัวแล้ว จนส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องเพื่อถอดถอน (Impeachment) คลินตันออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีจากสภาผู้แทนราษฎรเลยทีเดียว (การ Impeachment นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะครับ ในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐ 44 คนนั้นมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ถูก Impeachment) “คดีลูวินสกี” นี้อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2538-2539 โมนิกาได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับประธานาธิบดีบิล คลินตัน โดยภายหลังทั้งเธอและประธานาธิบดีคลินตันออกมายอมรับว่ามีความสัมพันธ์กันเพียงภายนอกไม่ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์เลยเถิดไปถึงภายในแต่อย่างใด โดยมีการสอบสวนจน ลูวินสกี ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยปากกับประธานาธิบดีคลินตัน ในห้องทำงานรูปไข่ “Oval Office” ที่อยู่ทางปีกตะวันตกของทำเนียบขาว

แม้ว่าประธานาธิบดีบิล คลินตัน จะไม่ถูกถอดออกจากตำแหน่ง (Removal) จากวุฒิสภาก็ตาม แต่ความร้ายแรงขั้นมหันต์ของการมีกิ๊กของประธานาธิบดีคลินตันเป็นที่ฉงนฉงายต่อบรรดาชาวโลกโดยทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครจะนึกฝันได้เลยว่าเรื่องการมีกิ๊กนั้นไม่ได้ผิดกฎหมายอาญาของประเทศส่วนใหญ่ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำไป

Advertisement

แต่เรื่องที่สนุกตามมาแต่ไม่ค่อยเป็นข่าวก็คือ บรรดากลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกัน ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงผลักดันให้มีการ Impeachment ได้สำเร็จล้วนแล้วมีกิ๊กและมีปัญหาในการหย่าร้างจากปัญหาของการมีกิ๊กทุกคนในขณะที่โจมตีประธานาธิบดีบิล คลินตัน ผู้สังกัดพรรคเดโมแครตทั้งสิ้น

เริ่มต้นที่นายเฮนรี ไฮด์ ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการ (House Judiciary Committee) ผู้นำเสนอการ Impeachment เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ปรากฏว่าใน พ.ศ.2541 (ระหว่างการดำเนินการ Impeachment นั้นเอง) นายเฮนรี ไฮด์ เองถูกเปิดเผยว่าเขาเคยเป็นชู้กับสตรีที่แต่งงานแล้วชื่อนางเชอรีย์ สนอดกราดส์ ในช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว โดยมีหลักฐานพร้อมมูลแบบนายเฮนรี ไฮด์ ไม่สามารถปฏิเสธได้ทำให้นายเฮนรี ไฮด์ ต้องเป็นบุคคลที่อื้อฉาวถูกเยาะเย้ยไปชั่วชีวิต

สำหรับนายนิวต์ กิงริช ผู้เป็นประธานสภาผู้แทนสหรัฐผู้นำในการ Impeachment และเป็นผู้นำเสนอต่างสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเพื่อลงมติให้ Impeachment ประธานาธิบดีคลินตัน เนื่องจากประพฤติผิดจริยธรรมก็ต้องออกมาสารภาพเพราะมีหลักฐานแน่นหนาว่าเขาเองก็แอบมีกิ๊กถึง 5 คน ในระหว่างที่แต่งงานกับภรรยาคนที่หนึ่งกับคนที่สอง ทำให้เขาถูกบีบจากสื่อมวลชนจนต้องลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อนายนิวต์ลาออกพรรครีพับลิกันที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในเวลานั้นก็ได้เลือก นายบ๊อบ ลิฟวิงสตัน เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนต่อไป แต่นายบ๊อบ ลิฟวิงสตัน ได้ลาออกกลางสภา เนื่องจากมีคนส่งหลักฐานว่านายบ๊อบก็มีประวัติมีกิ๊กเช่นกัน

บรรดาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับริกันจึงเลือกเอานายเดนนิส แฮสเตอร์ต เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะทุกคนมีความเห็นว่านายเดนนิสดูจะเป็นเป็นผู้มีจริยธรรมมากที่สุดเพราะไม่มีข่าวเรื่องการมีกิ๊กเลย ทำให้นายเดนนิส แฮสเตอร์ต ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐนานถึง 8 ปี

แต่ปรากฏว่าเมื่อปีที่แล้วนายเดนนิสถูกฟ้องคดีอาญาโดยอัยการสหรัฐ เรื่องการหาเงินที่ผิดกฎหมายจำนวน 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้เป็นค่าปิดปากอดีตกิ๊กผู้ชาย 2 คน ของนายเดนนิสนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันอีก 2 คนที่ลงคะแนนขับไล่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่เป็นผู้ชาย 1 คน และผู้หญิง 1 คนยอมรับต่อหนังสือพิมพ์ชิคาโกทริบูนว่าต่างก็มีกิ๊กด้วยทั้งคู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่อง Impeachment นั่นเอง

ครับ ! ปัญหาเรื่องอ้างตัวเป็นคนดีเพราะไม่มีกิ๊กนี้พอเอาเข้าจริงๆ พวกคนดีก็เหลวกันทุกคน

แปลกนะครับที่เมืองไทยเรานี่ทางการเมืองก็มักจะอ้างเรื่องคนดีกันอยู่เสมอเหมือนกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image