ประชาธิปัตย์จะเอาอย่างไร

ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายทหารที่ครองอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบันหลังจากครองอำนาจมาจะครบ 4 ปี กำลังวางแผนจะยืดอายุต่อออกไปอีก โดยการสบคบกับ สนช. หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และองค์กรอิสระอื่นๆ ซึ่งใครๆ ก็มองออก ถ้าเป็นไปได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะประชาชนและสื่อมวลชนไทยไม่มีกระดูกสันหลังพอที่จะลุกขึ้นทวงสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นอารยะของตนจากทหาร ซึ่งไม่มีความชอบธรรมอันใดเลยที่จะสถาปนาตนเองเป็น “องค์อธิปัตย์” ปกครองคนไทยมาเป็นเวลานาน และกำลังวางแผนจะอยู่ต่อไป

การจะอยู่ต่อไปต้องทำอย่างไร เป็นปัญหาที่กำลังครุ่นคิด จะอยู่ต่อไปในรูป “เผด็จการทหาร” อย่างที่เป็นอยู่ก็เสี่ยงต่อการลุกฮือขึ้นของประชาชน ซึ่งไว้ใจไม่ได้แล้ว อารมณ์ที่อาจจะถูกปลุกปั่นขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน เช่น กรณีเฮลิคอปเตอร์ตกที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ที่พบเนื้อกวางเก้ง แม้จะไม่มีเนื้อเสือดำ แต่ก็มีดาราภาพยนตร์คนดังอยู่ด้วย น้ำผึ้งหยดเดียวกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เมื่ออธิบดีกรมตำรวจขณะนั้นสั่งปิดถนนพระราม 5 และสั่งตีนักศึกษาที่กำลังกลับบ้านแถวๆ ข้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เรื่องบานปลายกลายเป็นวันมหาวิปโยค 14 ตุลา 16

เกิดความคิดที่จะทำในทำนองเดียวกับ พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ คือให้ใช้บทเฉพาะกาลไป 5 ปี ก่อนจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรตัวจริง โดยให้นายกมาจากการลงคะแนนเสียงของรัฐสภา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาเข้ามาร่วมลงคะแนนกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย เช่นเดียวกับสูตรที่ทำให้นายกรัฐมนตรีท่านต่อมาสามารถอยู่ในตำแหน่งต่อได้ถึง 8 ปีครึ่ง เพราะมีบทบัญญัติว่า พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการเงินให้พิจารณาโดยรัฐสภา แทนที่จะพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้ขาดว่าพระราชบัญญัติใดเป็นพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการเงิน โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวยืนคู่กับรัฐบาล “คนนอก” ดังกล่าวตลอด 8 ปีครึ่ง ส่วนพรรคใหญ่ๆ พรรคอื่น เช่น พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคสามัคคีธรรม และพรรคเล็กต่ำ 10 อื่นๆ ต่างก็ผลัดกันเข้าผลัดกันออกมาร่วมเป็นรัฐบาล

สูตรดังกล่าวได้มีความพยายามจะลอกแบบ หลังรัฐประหารปี 2535 โดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร หลังจากมอบหมายให้นายอานันท์ ปันยารชุน ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีแทนหัวหน้ารัฐประหาร ทำนองเดียวกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มอบให้นายพจน์ สารสิน ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีแทนในการทำรัฐประหารรอบแรก ก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีในการทำรัฐประหารรอบ 2 แต่ พล.อ.สุจินดา ทำไม่สำเร็จที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก

Advertisement

หลังจากพรรคของตนชนะการเลือกตั้งหลังการทำรัฐประหาร เกิดกรณีพฤษภาทมิฬทั้งที่ตนได้คะแนนนิยมอย่างท่วมท้นในการทำรัฐประหารล้มรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ถูกฝ่ายทหารร่วมกับสื่อมวลชนโจมตีว่าเป็นรัฐบาล “บุฟเฟต์ คาบิเนต” ซึ่งก็ยังพิสูจน์ไม่ได้จนบัดนี้ ทรัพย์สินของนักการเมืองที่คณะรัฐประหารยึดหรืออายัดไว้ก็ถูกส่งคืนหมด เพราะต้องการเสียงสนับสนุนจากนักการเมืองเหล่านั้นเพื่อให้ตนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตอนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

รัฐบาลนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล แต่อยู่ข้างนอกเป็นฝ่ายค้าน และทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดังใจคนกรุงเทพฯและคนใต้ จากการอภิปรายด้วยวาทะคารมเชือดเฉือน พล.อ.สุจินดาได้อย่างสะใจคนกรุงเทพฯ จนได้รับสมญาว่า “ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง” ประทับใจคนกรุงเทพฯมาจนวันนี้ แม้หัวหน้าพรรคปัจจุบันพยายามเอาอย่างในการพูด แต่ก็ไม่สามารถลอกแบบได้ ด้วยสำนวนสุภาพ อ่อนหวาน แต่คมกริบ เป็นครั้งเดียวที่เห็นประชาธิปัตย์เอาใจออกห่างนายกฯทหารที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่าจะเคยกระแทก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่ พล.อ.ชวลิตก็มาจากการเลือกตั้ง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.สุจินดา หลังจากมีสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างที่มีการต่อต้านรัฐประหารทุกครั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆ จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อมีการเปิดเสรีในการแสดงความคิดเห็นแล้ว เพราะไม่ต้องการเสี่ยงถูกเรียกไปปรับทัศนคติ หรือถูกเรียกไปสัมมนาอย่างนายพิชัย นริพทะพันธุ์ และนายวัฒนา เมืองสุข บ่อยๆ

ต่อไปนี้หวังว่าคงจะได้ยินเสียงของท่านอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูดเอาเสียงเข้าพรรคบ่อยๆ มากขึ้น เพราะแน่ใจแล้วว่าจะไม่ถูกเรียกไปปรับทัศนคติและจะไม่ถูกยุบพรรค แต่ก็คงอยู่ในกรอบที่ทหารจะไม่รังเกียจ รับเข้าร่วมรัฐบาล “คนนอก” หลังการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ถ้ามี

ขณะที่พรรคเพื่อไทยกำลังเป็นพรรคแพแตก ยังหาหัวหน้าพรรคไม่ได้ เกิดเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ฝ่ายนักการเมืองเพื่อไทยที่มีภาษีดีน่าจะเป็นฝ่ายที่กำลังเดินสายอยู่กับทหาร และเป็นที่ยอมรับของทหาร อาจจะแยกตัวออกมาตั้งพรรคใหม่เพื่อสนับสนุน “คนนอก” เป็นนายกรัฐมนตรี

ถ้าเห็นว่าพรรคเพื่อไทยทหารไม่เอาหรือไม่เอาทหาร ก็พร้อมจะโดดออกจากเรือ นายใหญ่ก็ไม่โกรธไม่เคือง แปลกดี ตกลงเละเทะกันทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนพวกเรากันเองด้วย

ข่าวเรื่องการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง คอร์รัปชั่น กลายเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์รายวันทุกวัน ก็ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน เพราะมีมาจนจำไม่ได้ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ คนใดซื่อสัตย์สุจริตกลายเป็นคนประหลาดไป เพราะจิ้มที่ใดก็พบที่นั่น ยังไม่เคยได้ยินข่าวรัฐมนตรีถูกปลด ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าการ ผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการรัฐวิสาหกิจ ถูกปลด ถูกดำเนินคดี ใครจะใส่นาฬิกาหรูรถแพงอย่างไรก็ไม่เห็นพรรคการเมืองเดือดร้อนแทนประชาชนเสียภาษีอย่างเราๆ เลย ที่ “ปากคมๆ” ทั้งหลายหายไปไหนหมด หรือว่าพูดไปก็เป็นภัยกับตนเอง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

แกนนำ กปปส.นั้น บัดนี้ก็เสร็จสิ้นภารกิจในการดำเนินการ เปิดทางให้กับทหารทำปฏิวัติเสร็จสิ้นแล้ว ราคาของ กปปส.ในสายตาของทหารหมดแล้ว ขืนมาเกาะก็จะเป็นภาระไม่เป็นประโยชน์ ในทางการเมืองนั้น “ไม่มีใครเป็นมิตรและศัตรูถาวร” ขณะเดียวกันก็ “ไม่มีใครเป็นคุณหรือเป็นโทษถาวร” เหมือนกัน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ตกลงกันไว้แล้ว ทุกฝ่ายทุกคนก็กลับไปสภาพเดิม ไม่เป็นตัวถ่วงน้ำหนักซึ่งกันและกัน จึงต้องเตรียมตัวทยอยกันไปขึ้นศาลเดือนละ 3-4 ครั้ง แล้วแต่จำนวนคดีที่ถูกกล่าวหาและอาจจะจบลงอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ก็ได้ ไม่มีใครพยากรณ์อนาคตได้ การเมืองไม่เหมือนเศรษฐกิจ หรือเคมีฟิสิกส์ หรือวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ แต่ที่แน่ๆ แกนนำกลุ่มนี้คงจะต้องยุติบทบาททั้งหมดของตนกลายเป็นคนในประวัติศาสตร์ไป

แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะเกิดคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทแทนคนรุ่นเก่าที่ต้องตายจากไป จะโดยถูกอัยการดำเนินการฟ้องร้อง หรือหมดยุคหมดสมัยไป การเมืองข้างถนนแบบที่เคยเป็นมาก็คงหมดยุคสมัยไป สังเกตได้จากการปลุกระดมโดยใช้ไมโครโฟนเรียกออกจากบ้านมาชุมนุมคงจะหมดยุคไป แต่เปลี่ยนเป็นการใช้มือถือออนไลน์ ซึ่งไปได้รวดเร็วและเป็นไฟลามทุ่งได้เร็วกว่า

เท่าที่สังเกตดู คนรุ่นใหม่กลับเป็นพวกที่ไม่สนใจกิจกรรมทางการเมือง หรืออยากจะเข้าไปร่วมทางการเมืองเท่าใดนัก การชุมนุมทางการเมืองครั้งสุดท้ายที่เป็น กลุ่มก้อนจำนวนมากก็เห็นจะเป็นการชุมนุมของ กปปส. ที่ร่วมมือกับฝ่ายที่มีอำนาจ เป็นการระดมพวกที่ ส.ส.ทางใต้จัดตั้งไว้เป็นแกนหลัก ในขณะเดียวกันก็สามารถโน้มน้าวคนชั้นกลางในกรุงเทพฯที่ไม่ชอบทักษิณเข้าไปร่วมชุมนุมด้วย อันเป็นการปูทางให้ทหารสวมบททำการปฏิวัติได้ โดยอ้างว่าประชาชนแตกแยกออกเป็นฝักฝ่ายต่อสู้กัน ถ้าปล่อยไว้คงจะต้องมีเลือดตกยางออกล้มตายกัน ซึ่งไม่น่าจะจริง

หากทหารทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ ทำตามกฎหมาย ไม่ใส่เกียร์ว่าง ทำตามคำสั่งของรัฐบาล เพราะการชุมนุมปิดถนน สถานที่ราชการ ปิดสนามบิน ปิดทำเนียบรัฐบาล ทำนา รวมทั้งปิดกรุงเทพมหานคร หรือ shutdown Bangkok

ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ตราบใดที่การสำรวจอย่างลับๆ ของรัฐบาลยังปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยยังเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งอยู่ตามเดิม พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงเป็นพรรคเสียงข้างน้อยอยู่ นอกนั้นก็จะมีพรรคชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะได้คะแนนเสียงตามเดิมประมาณ 30-60 เสียง พรรคต่ำ 10 จำนวนหนึ่ง พรรคทหารที่ประกาศสนับสนุนหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกฯต่อไปก็คงจะเป็นพรรคต่ำ 10 เสียมากกว่า เป็นพรรคที่หลอกใช้เงินทหาร ได้รับแล้วก็ไม่ออกหาเสียง ประสบการณ์เช่นนี้คงจะมีออกมาอีก

หมดยุคขึ้นเวทีปราศรัยน้ำไหลไฟดับมาเป็นระบบออนไลน์ เป็นตัวอักษร ความได้เปรียบของพรรคประชาธิปัตย์ที่สามารถพูดจน “ลิงหลับตกต้นไม้” ได้ก็คงจะลดลง จะพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปของเทคโนโลยีในการสื่อสารก็คงจะต้องติดตามดูต่อไป คนใต้จะยังยึดถือแบบโกกิแห่งเมืองกระบี่ว่า สำหรับผลงานนั้นต้องยอมรับเพื่อไทยแต่การลงคะแนนเสียงต้องลงให้ประชาธิปัตย์ เพราะเป็นอย่างนั้นมาแต่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถึงใจเปลี่ยนแต่มือที่กาบัตรนั้นไม่เปลี่ยน

การพัฒนาการเมืองนั้น ไม่เหมือนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เปลี่ยนได้ง่ายกว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองโดยสันติวิธีนั้นทำได้ยาก นอกจากใช้วิธีรุนแรงบังคับเอาด้วยปืน การสร้างระบอบเผด็จการ ทั้งที่เป็นระบอบเผด็จการทหารหรือเผด็จการคอมมิวนิสต์นั้นทำได้ง่ายกว่าระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องมีปัจจัยสนับสนุนมากมายหลายอย่าง ข้อสำคัญพรรคการเมืองต้องเป็นพรรคการเมืองที่เป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย ทุกภูมิภาคในประเทศ ผู้นำพรรคการเมืองต้องไม่มีจิตใจคับแคบ ทำงานเป็นและทำงานจริง พรรคที่ขาดคุณสมบัติเหล่านี้คือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้าพรรคเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่แล้วพรรคอื่นๆ เดินตาม โอกาสการเกิดประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนในบ้านเราก็คงจะมี

เลือกตั้งทั่วไปเมื่อไหร่ ประชาธิปัตย์ก็เป็นอย่างนั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image