บทเรียน จากอดีต ศึกษา “การเลือกตั้ง” กรณี “ประชามติ”

แฟ้มภาพ

พลันที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ประกาศ “ร่าง” รัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ ครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม เป็นต้นมา

“การเมือง” ก็เข้าสู่ “จุดเสี่ยง”

ไม่ว่าคนที่มองโลกในท่วงทำนอง “สุนิยม” อย่างไร ก็ต้องยอมรับว่า “ความเสี่ยง” เกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไปในอัตราที่สูงเป็นอย่างสูงยิ่ง

แม้ “ประชามติ” จะต่างกับ “การเลือกตั้ง”

เพราะไม่มีตัว “ผู้สมัคร” เสนอตัวลงไปให้ประชาชน แต่ตัว “ร่าง” รัฐธรรมนูญอันผ่านกระบวนการคั้นและกลั่นมาโดย “แม่น้ำ 5 สาย” นั่นแหละที่ผงาดขึ้นมา

ADVERTISMENT

ผงาดขึ้นมาอยู่ในฐานะเป็น “ตัวเลือก”

สถานการณ์ของ “คสช.” ในขณะนี้จึงเป็นสถานการณ์อย่างเดียวกันกับการตัดสินใจของรัฐบาล คมช.เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550

เหมือนการตัดสินใจของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อไปสู่การเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554

การตัดสินใจครั้งนั้นไม่ว่ารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจมากด้วยความมั่นใจแต่ก็ต้องถูกลากดึงเข้าไปสู่กระบวนการของ “ความเสี่ยง”

เป็น “ความเสี่ยง” ของ “การเลือกตั้ง”

ถามว่าความมั่นใจของ คมช.เมื่อประสานเข้ากับการตัดสินใจของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อปี 2550 มีฐานมาจากอะไร

1 ฐานจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ผ่าน “ประชามติ”

1 ฐานจากการรุกไล่ แยกสลายและบดขยี้พรรคไทยรักไทยในหลายกระบวนท่าตั้งแต่รัฐประหาร ยุบพรรค จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ยึดพาสปอร์ต จำกัดกรอบและขอบเขตการเคลื่อนไหว

รูปธรรมคือ การเกิดขึ้นของพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย

รูปธรรมคือ การเกิดขึ้นของ “แนวร่วม” อันประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคมหาชน ที่พร้อมจะผนึกตัวรวมพลังเข้ากับพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย โดดเดี่ยวพรรคพลังประชาชนอันเป็นอวตารแห่งพรรคไทยรักไทย

ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน “บันได 4 ขั้น” ครบถ้วน

ยิ่งกว่านั้น 1 ฐานอัน คมช.อยู่ในฐานะกุมกลไกอำนาจรัฐทั้งในความเป็นรัฐบาลและที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ อำนาจทางการทหาร

โดยมีประกาศกฎอัยการศึกอยู่ในกำมืออันแข็งแกร่ง

ทุกพิมพ์เขียว ทุกแผนการวางยุทธศาสตร์ในการบดขยี้พลังตกค้างที่เหลืออยู่ของพรรคไทยรักไทยสถานเดียว กระทั่งเกิดความมั่นใจ

แต่แล้วผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 ก็ไม่เป็นไปตามเป้า

ถามว่าความมั่นใจของพรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตรในแนวร่วมซึ่งต่อเนื่องจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มีฐานมาจากอะไร

1 ฐานจากสถานการณ์เมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553

สถานการณ์เมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 เป็นการเคลื่อนไหวอย่างอึกทึกครึกโครมยิ่งของ นปช.คนเสื้อแดงอันเป็นพันธมิตรในแนวร่วมของพรรคเพื่อไทย

เป็นการสะสมความจัดเจนมาจากสถานการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2552

ความสำเร็จในการกำราบ ปราบปราม มาจากการผนึกตัวรวมพลังระหว่างรัฐบาลกับกองทัพภายใต้องค์กรจัดตั้ง “ศอฉ.”

สร้างความเสียหายให้กับ นปช.คนเสื้อแดงอย่างใหญ่หลวง

ขณะเดียวกัน ความเสียหายในทางการเมืองและในทางการจัดตั้งย่อมส่งผลสะเทือนไปยังพรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ขณะเดียวกัน 1 รัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างพันธมิตรในแนวร่วมขึ้นมาใหม่จากสถานการณ์ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการกำราบและปรามปรามสถานการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 อย่างได้ผล

2 ปัจจัยทางการเมือง ทางการทหาร คือความมั่นใจเป็นอย่างสูงของพรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตร

แต่แล้วผลการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 ก็แสดงให้เห็นว่าเป็น “ความเสี่ยง” อย่างสำคัญ

ความเสี่ยงจากเมื่อปี 2550 ความเสี่ยงจากเมื่อปี 2554 จึงดำรงอยู่อย่างเป็น “บทเรียน” อันทรงความหมาย

เพราะว่าอุบัติแห่ง “ร่าง” รัฐธรรมนูญมีความสัมพันธ์กับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และมีความสัมพันธ์กับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

“ประชามติ” ในเดือนสิงหาคม 2559 จึงเป็น “สนามประลอง” อันแหลมคมยิ่ง