การเมืองเหลื่อมล้ำ สามเส้า

รากเหง้าของปัญหาไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม ที่เป็นต้นเหตุให้สังคมไม่สงบสุข สมานฉันท์ สามัคคี ก็คือความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม กดขี่ข่มเหง รังแก เอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง

ฉะนั้นไม่ว่าใครจะพยายามแก้ไขทำให้โครงสร้างอำนาจด้านอื่นๆ ที่บิดเบี้ยว ไม่สมดุล เอารัดเอาเปรียบ เกิดความเป็นธรรม เกิดความเสรีที่แท้จริงอย่างไรก็ตาม โดยไม่แก้ไขให้การเมืองเป็นการเมืองที่เป็นธรรม ขจัดเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำให้ลดลง

ก็อย่าหวังเลยว่าความสงบสุข ร่มเย็น เรียบร้อย น่าอยู่จะเกิดขึ้น เพราะความเป็นไปทุกด้านล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงส่งผลถึงกันและกัน การเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นได้ทั้งโดยตัวบทกฎหมาย และพฤติกรรมของคนผู้ได้เปรียบ

เสรีทางเศรษฐกิจแต่เผด็จการทางการเมือง จึงขัดแย้ง สวนทาง โดยตัวมันเองไปด้วยกันไม่ได้อย่างแน่นอน

Advertisement

ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังทางเศรษฐกิจ การเมือง ที่กำลังซุ่มซ่อนจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐเพื่อเป็นนั่งร้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีสถานะเป็นคนใน ได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปภายหลังการเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างเพื่อสานงานต่อไม่ใช่การต่อท่ออำนาจก็ตาม จึงเป็นไปเพื่อลดแรงเสียดทาน เสียดสี จากการมีสถานะเป็นคนนอกลงระดับหนึ่งเท่านั้น

ถึงแม้จะได้ชัยชนะก็ไม่มีทางทำให้การเมืองในรัฐสภาและในท้องถนนราบเรียบลงได้อย่างที่ต้องการ เพราะเนื้อแท้ของการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยวิธีการที่ถูกนินทาว่าไม่ต่างจากพรรคไอ้ตัวดูดในอดีต ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม แต่ดำรงความเหลื่อมล้ำเอารัดเอาเปรียบฝ่ายอื่นอย่างชัดเจน

การยังไม่ยอมปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ขณะที่ฝ่ายอำนาจเคลื่อนไหวตีกินไปก่อนหน้าตามลำดับ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความเหลื่อมล้ำ

Advertisement

ของแท้ แน่นอน ร้ายแรง มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าดำรงคงอยู่ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2560

การมีอำนาจตัดสินคัดเลือกเสนอชื่อวุฒิสมาชิก 250 คน ภายใต้ข้ออ้างเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนที่ผ่านการลงประชามติแบบมัดมือชก พูดฝ่ายเดียว เป็นหลักฐานยืนยันการเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรมกับฝ่ายอื่นทั้งสิ้น

ส.ว. 250 คน จึงเป็นต้นทุนฝ่ายผู้มีอำนาจมี แต่คนอื่นไม่มี ทำนองเดียวกันกับงบประมาณกลางปีจำนวนมหาศาลที่ถูกนำไปใช้ในนามของการพัฒนา ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้หาเสียงล่วงหน้า

ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเพื่อให้ได้อำนาจโดยวิธีการเช่นนี้ ถามว่าแหล่งทุนมาจากไหน เอาเงินของใครมาปฏิบัติการ และนี่หรือคือการเมืองใหม่ การเมืองยุคปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

พรรควุฒิ พรรคราชการ พรรคทหาร นายทุน ขุนศึก กำลังเคลื่อนไหวกันคึกคัก ด้วยวิธีการไม่ต่างไปจากการเมืองน้ำเน่าที่พรรคการเมือง นักการเมืองถูกตำหนิ ประณาม ตกเป็นจำเลยหลักยังแก้ภาพลักษณ์ตัวเองไม่ได้มาจนถึงวันนี้

ฝ่ายหนึ่งมีบทบาทอำนาจ มีกองกำลังตามกฎหมายหนุนช่วยภายใต้อำนาจพิเศษที่ยังดำรงอยู่ เป็นอาวุธในมือที่คู่แข่งขันเปิดประตูความพ่ายแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว

พรรคเล็กพรรคน้อยจึงไม่มีทางเลือกอะไรที่ดีไปกว่ายอมรับแต่โดยดี และด้วยวิธีการที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงยุคปฏิรูปพูดอย่างทำอย่างนี่เอง จึงทำให้การเมืองไทยมีแต่พรรครัฐบาลกับพรรครอร่วมรัฐบาล เป็นพรรคฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง ไม่มีความหมายเพราะถูกปิดกั้น เอารัดเอาเปรียบ ทำอะไรไม่ได้ตั้งแต่ไก่โห่ ยังไม่ทันได้ออกตัวสู่เวทีด้วยซ้ำ

การเมืองที่ยังดำรงความได้เปรียบให้ฝ่ายที่มีอำนาจ ไม่เกิดตลาดแข่งขันที่เสรีเท่าเทียมเป็นธรรม ผู้เป็นรองก็ต้องหาทางดิ้นรนต่อสู้เพื่ออยู่รอดทุกวิถีทาง การช่วงชิง ใช้ตัวบุคคลเป็นเครื่องมือเพื่อเอาชนะจึงยังเป็นด้านหลักต่อไป

พัฒนาการของการแข่งขันเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นมาตามลำดับกลับกลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับแนวทางของพรรคที่ 3 ซึ่งเดินหน้าปูทาง ร่างพิมพ์เขียวล่วงหน้า จึงไม่ห่วงกังวลเรื่องนโยบาย เพราะนำโด่งไปแล้วหลายช่วงตัว เขียนไว้ในกฎหมายเรียบร้อย ต่อไปนี้ก็เป็นเพียงกวาดต้อนไพร่พลผู้คนเข้ามาใต้ชายคาให้ได้มากที่สุดแค่นั้น

แนวโน้มการแข่งขันกำลังปรากฏการเมืองสามเส้าชัดเจน ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และพรรคพันธมิตรนายทุนขุนศึก

2 พรรคแรกจึงต้องยืนหยัด แม้ร่วมกันไม่ได้ก็ต้องมีศักดิ์ศรี ไม่สยบยอมต่อความเหลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบ ดำรงหลักการประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่มั่นคง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image