จะต่อท่ออำนาจ : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อเผด็จการทหารทุกคนทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชนเจ้าของอำนาจ ด้วยคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ว่าจะกวาดล้างการฉ้อราษฎร์บังหลวง คอร์รัปชั่น ยกเลิกรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ สถาบันทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้นตามความในรัฐธรรมนูญ ยกเว้นศาลยุติธรรมและศาลอื่นๆ ก็เป็นอันสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับรัฐธรรมนูญ

การสถาปนาระบอบเผด็จการทหารต้องอาศัยนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ มาช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการคงอำนาจคณะรัฐประหารไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แล้วก็จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสภานิติบัญญัติทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและทำหน้าที่นิติบัญญัติด้วย เมื่อมีประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งคราวนี้มีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นคือ ให้มีการทำประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งก็แน่ใจว่าประชาชนต้องการผ่านรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เพื่อให้รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ยากขึ้นก็ต้องทำประชามติเช่นกัน แม้จะมีบทเฉพาะกาลและมีการยอกย้อนซ่อนเงื่อนขอต่อเวลาอยู่อีก 5-6 ปี หลังจากที่อยู่ในอำนาจมาแล้ว 4 ปี กำลังจะเข้าปีที่ 5 ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ยืนยาวที่สุดในบรรดารัฐบาลเผด็จการ ที่สถาปนาตัวเองขึ้นมาจากการยึดอำนาจจากประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดพัฒนาการทางการเมืองและคุณภาพของประชาชนของสังคมนั้นๆ เพราะ “ประชาชนเป็นอย่างไรก็ได้รัฐบาลอย่างนั้น” อย่าไปโทษใครเลย

ความเสียหายของประเทศชาติทั้งในทางเศรษฐกิจ ทั้งในแง่เกียรติภูมิของประเทศ ที่ประชาชนคนไทยยอมรับว่าตนปกครองตนเองไม่ได้ มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่ได้ พรรคฝ่ายค้านเมื่อรู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ก็คว่ำบาตรการเลือกตั้ง สมคบคิดกันออกไปยึดถนน ร่วมมือกับทหารจัดชุมนุม เรียกตนเองว่า กปปส. เพื่อปูทางให้ทหารทำปฏิวัติรัฐประหารโดยอาศัยการปลุกผี “ทักษิณ” เพื่อให้คนชั้นกลางที่มีแนวโน้มมีความรู้สึกเรื่อง “ชนชั้น” อย่างรุนแรงอยู่แล้วว่าตนเป็นชนชั้นที่สูงกว่า เป็นผู้เสียภาษี มีการศึกษาสูงกว่า ฉลาดกว่า มีชาติกำเนิดที่สูงกว่า

กล่าวหาว่าผู้คน “รากหญ้า” โง่เง่า ไร้สติปัญญา ไม่ควรจะมีสิทธิทางการเมืองเท่ากับตน การแสดงออกทาง “ชนชั้น” ระหว่างการชุมนุมของ กปปส. เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเกลียดชังระหว่างชนชั้นผู้ปกครองนายทุนกับชนชั้นรากหญ้า

Advertisement

เข้าใจผิดด้วยอวิชชาว่ามีเพียงชนชั้นตนเท่านั้นที่เป็นผู้จ่ายภาษี โดยลืมนึกไปว่าภาษีที่มีจำนวนมากคือภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากฐานภาษีที่ใหญ่ที่สุด คนจนต้องรับภาระภาษีเมื่อเทียบกับรายได้ของตนสูงกว่าคนรวย เป็นตราบาปที่จะจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปตลอดกาล

คนรวยหรือคนชั้นสูงนั้นเองเป็นผู้ใช้เงินตราต่างประเทศในการซื้อของอุปโภคบริโภคมากกว่าคนจน ในขณะเดียวกันเงินตราต่างประเทศมาจากผลผลิตของคนจนคนรากหญ้า เช่น ข้าว มันสำปะหลัง น้ำตาล ยางพารา บริการที่ให้กับนักท่องเที่ยว ล้วนเป็นแรงงานหยาดเหงื่อของคนจนรากหญ้าทั้งนั้น แต่ทุนเป็นของนายทุนเจ้าของกิจการ คนจนบริโภคของที่ผลิตในประเทศโดยโรงงานของนายทุน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า เครื่องดื่มจากร้านสะดวกซื้อของนายทุนและนายทุนก็เข้ามาร่วมชุมนุมกับ กปปส. คนในชนชั้นเหล่านี้ที่แสดงออกอย่างนี้แหละที่สมัยก่อนพวกคอมมิวนิสต์ชอบและเรียกพวกนี้ว่าเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” โดยไม่รู้ตัว

รัฐบาลเผด็จการทหารที่มาจากการยึดอำนาจจากประชาชนก็จะถูกแวดล้อมด้วยบุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นนายทุนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอภิสิทธิ์ชน คนชั้นสูงและคนชั้นกลางระดับสูง

Advertisement

คนไทยนั้นแปลก คนชั้นกลางยิ่งมีจำนวนมากเท่าไหร่ ยิ่งมีการศึกษาสูงไม่ว่าจะจบจากในหรือต่างประเทศเท่าไหร่ ก็ยิ่งปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ตัวแทนของชนชั้นนี้ก็คือพรรคประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นที่นิยมของคนชั้นกลางซึ่งมีมากในกรุงเทพฯ ในเขตเทศบาลของจังหวัดต่างๆ รวมทั้งในเขตที่ประชาชนมีรายได้สูงเป็นประชาชนในปักษ์ใต้ 15 จังหวัด น่าเสียดายที่เมื่อก่อนเคยเป็นปากเสียงให้ประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการอยู่บ้าง บัดนี้ผู้นำพรรคกลายเป็นลูกน้องเผด็จการทหารไปแล้ว

ทั้งๆ ที่ในหลักการไม่มีความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจ ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล อีกทั้งทัศนคติที่ดูถูกประชาชนและดูถูกสื่อมวลชนของผู้นำรัฐบาล ซึ่งปรากฏทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีและการออกอากาศทางโทรทัศน์และวิทยุ ใช้เวลาที่ดีที่สุดออกมาพูดจาดูถูกประชาชน ดูถูกพรรคการเมือง ดูถูกนักการเมือง เหยียดหยามแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์และ กปปส.ซึ่งเป็นพันธมิตรจับมือกันล้มล้างระบอบประชาธิปไตยมาด้วยกันแท้ๆ

ปูชนียบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์เจ้าของวาทะ “ผมเชื่อในระบอบรัฐสภา” ก็เงียบ เมื่อจะมีการต่อท่ออำนาจจากการที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เปิดช่องให้มีการต่อท่ออำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหาร กลับไปประจบทหารโดยการขอบคุณทหารที่ให้งบประมาณสร้างและขยายทางหลวงในภาคใต้ ทั้งๆ ที่ประชาธิปัตย์ก็เคยร่วมเป็นรัฐบาลเกือบทุกสมัยในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่ไม่เคยสนใจทำงาน ไม่สร้างผลงานในเขตเลือกตั้งของตนเอง เพราะคิดว่าอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์ก็ชนะการเลือกตั้งในภาคใต้อยู่แล้ว แต่กับรัฐบาลประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งจะเอาให้ตายให้ได้

ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ถ้าผู้แทนไม่มีผลงาน ประชาชนจะเรียกร้องให้พรรคเปลี่ยนตัวผู้สมัคร ในระบอบประชาธิปไตย พฤติกรรมของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งย่อมมีผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นเป็นอย่างมาก

เมื่อผู้นำทหารที่ครองอำนาจทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ มีกิเลสคิดจะต่อท่ออำนาจหลังการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งต้องตีความรัฐธรรมนูญ อีกทั้งสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับสาธารณชนและประชาคมโลก ต้องปิดบังท่าทีทัศนคติและวาจาที่ดูถูกประชาชนและนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งหมด แทนที่จะดูถูกเฉพาะนักการเมืองที่วิ่งเข้ามาประจบ เลียแข้งเลียขาตนเองเพราะตนเองก็ต้องกลืนน้ำลายตนเอง เอาอกเอาใจนักการเมืองคนดีเหล่านี้

ในอดีตเผด็จการทหารที่เข้าสู่อำนาจโดยการใช้กำลัง ไม่เคยมีใครลุกจากอำนาจตามที่ตนให้คำมั่นสัญญาไว้ในขณะประกาศยึดอำนาจเลย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ้นจากตำแหน่งเพราะถึงแก่อสัญกรรมและถูกยึดทรัพย์ หลังจากนั้นจอมพลถนอม ประภาส พ้นจากตำแหน่งเพราะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่และถูกยึดทรัพย์ กรณีพฤษภาทมิฬก็เช่นกัน ส่วนที่ถอยออกหลังการทำรัฐประหารก็มีแต่มีน้อยแทบไม่มีเลยแต่เกิดหลังจากทำรัฐประหารไปแล้วตนก็ถูกยึดอำนาจอีกและไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้นำทางการเมือง เช่น กรณีการทำรัฐประหารในปี 2549 เป็นต้น

ในทางวิชาการทฤษฎีรัฐศาสตร์ ขบวนทัศน์ ทัศนคติของเจ้าของอำนาจอธิปไตยก็ดี แตกต่างกันระหว่างรัฐเผด็จการกับรัฐประชาธิปไตย เพราะเป็นเรื่องทางใครทางมัน มาจากรากฐานความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหมือนน้ำที่มาจากคนละท่อ สีน้ำคนละสี ท่อหนึ่งน้ำสีเหลือง อีกท่อหนึ่งน้ำสีแดง ท่อน้ำสีเหลืองนั้นหมดลงเมื่อมีการเลือกตั้ง ซึ่งมาจากพื้นฐานของความคิดที่ว่าเจ้าของอำนาจอธิปไตยคือประชาธิปไตย มาจากท่อน้ำสีแดง

เมื่อท่อน้ำสีเหลืองหมดลง จะคิดต่อท่อไปใช้ท่อน้ำสีแดงคงจะเป็นไปได้ยาก ความจริงนี้เป็นจริงทั้ง 2 ข้าง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ท่อน้ำสีแดงจะต่อท่อไปใช้ท่อน้ำสีเหลืองของเผด็จการก็ทำไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส แห่งฟิลิปปินส์ และกรณีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถนอม ประภาส ที่จะเปลี่ยนจากท่อน้ำเหลืองเผด็จการทหารมาเป็นท่อน้ำแดงให้มีการเลือกตั้ง แต่สร้างกลไกให้มี ส.ส.ประเภท 2 ซึ่งก็เหมือนกับการมีวุฒิสภามาช่วยลงคะแนนเสียงด้วยในญัตติสำคัญๆ แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอดเพราะทางใครทางมัน

จะเป็นรัฐบาลเผด็จการก็เป็นไป ก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง ถ้าจะมีประชาธิปไตยมีการเลือกตั้ง ทหารก็ไม่ควรคิดอยู่ต่อโดยการใช้อำนาจให้พรรคเล็กพรรคน้อยที่ประกาศสนับสนุนตน ชนะเลือกตั้งโดยการใช้อำนาจรัฐด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธี สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติและพัฒนาการทางการเมือง

คนชั้นสูงและคนชั้นกลางที่มีฐานะทางเศรษฐกิจในเขตเทศบาลทุกภาค ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนทั้งนั้น ที่แปลกคือเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดอนุรักษนิยมขวาจัด ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง คิดเข้าข้างตนเอง ไม่สนใจความเป็นธรรม ความเท่าเทียมหรือหลักนิติรัฐ ไม่ต้องการบริการจากรัฐ ไม่สนใจ “รัฐบริการ” แต่ต้องการ “ความสงบเรียบร้อยราบคาบ” จึงต้องการ “รัฐปกครอง” ที่สำคัญชนชั้นนี้เป็นลักษณะพิเศษคือเป็นคนเบื่อง่าย ไม่ชอบและเกลียดชังคนที่ฐานะต่ำกว่าและนิยมชมชอบผู้มีอำนาจ ชอบคนในเครื่องแบบไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร ต่อต้านระบอบประชาธิปไตย

ตราบใดที่ทหารยังทำตัวเป็นทหารในการเป็นผู้นำรัฐบาล ผู้คนในชนชั้นนี้ก็จะนิยมชมชอบและสมยอมเรียกร้อง แต่ถ้าเมื่อใดทหารเปลี่ยนจากทางของตนไปสู่ทางประชาชน โดยจะมาสมัครหรือจะเป็นผู้นำทางการเมืองผ่านขบวนการเลือกตั้งจากประชาชน ทำนายได้เลยว่าจะประสบแต่ความล้มเหลว คอยดูนักการเมืองที่ยอมเข้ามาเป็นสมุนรับประโยชน์จากการมีอำนาจรัฐก่อนและระหว่างเลือกตั้งต่อไป

อย่ากลับมาอีกเลย บ้านเมืองเสียหายมากแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image