ภาพเก่าเล่าตำนาน : ปืน…ขนมหวานและทหาร.. จากฝรั่งโปรตุเกส : พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ท่านผู้อ่านบทความ “ภาพเก่า..เล่าตำนาน” มาต่อเนื่อง เรื่องของประวัติศาสตร์อยุธยา สอบถามผู้เขียนถึงชนชาติโปรตุเกส ที่เป็นบรรพบุรุษของท้าวทองกีบม้า ราชินีแห่งขนมไทย และขอให้ขยายความเรื่องของราวของชนชาติโปรตุเกส ฝรั่งชาติแรกที่อาจหาญแล่นเรือเข้ามาถึงเมืองอยุธยาเมื่อกว่า 500 ปีที่แล้ว

ขอจัดให้ด้วยความยินดียิ่งครับ….

ผู้เขียนขอแสดงความปลื้มปีติที่ละคร “บุพเพสันนิวาส” ได้เปิดโลกทัศน์ของผู้ชมชาวไทยออกไปกว้างไกล ทำให้เรารู้จักกับชนชาติต่างๆ อีกหลายเผ่าพันธุ์ที่อยู่ห่างออกไปที่ปลายขอบฟ้า

โปรตุเกส (Portugal) เป็นอาณาจักรเล็กๆ ติดทะเลในทวีปยุโรป เคยเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในยุโรป โปรตุเกส เคยเป็นมหาอำนาจทางการทหาร การเดินเรือทะเล การค้าขาย มีความเจริญด้านวัฒนธรรม ศิลปวิทยาการ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ที่ฝรั่งด้วยกันเองต้องสยบยอมยกนิ้วหัวแม่โป้งให้

Advertisement

กองเรือของโปรตุเกสแล่นเรือไปถึงทวีปแอฟริกา เข้ายึดครองดินแดนก่อนใคร ปัจจุบันคือประเทศแองโกลา (Angola) โมซัมบิก (Mozambique) กีนีบิสเซา (Guinea Bissau) เซาตูแมและปรินซิปี (Sao Tome and Principe) คาร์บู แวร์ดึ (Cabo Verde) ดินแดนในแถบละตินอเมริกา ยึดครองดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศบราซิล

ฝรั่งในทวีปยุโรปแข่งขัน แย่งชิงความเป็นใหญ่กันทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องกิจการศาสนา ความรู้เรื่องการเดินเรือ ชาวโปรตุเกสเป็นมืออาชีพที่ค้นพบดินแดนใหม่ๆ แล้วเข้าครอบครอง จับจอง ผูกขาดสินค้าจากทุกมุมโลก มีข้อมูลแม่นยำเรื่องการเดินเรือไปทุกหนแห่ง ฝรั่งด้วยกันจ้องตาเป็นมันที่จะล้วงความลับเส้นทางการเดินเรือในทะเล

ความลับสุดยอดที่ฝรั่งนักเสี่ยงโชคทั้งหลายต้องการไขปริศนา คือเส้นทางเดินเรือจากยุโรปเพื่อจะไปอินเดีย ความคิดเรื่อง “โลกแบน” กลัวแล่นเรือไปแล้วตกไปนอกโลก เป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งนัก แต่ฝรั่งนักผจญภัยของโปรตุเกสก็พร้อมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพื่อการผจญภัย แสวงหาคำตอบ

Advertisement

มหาบุรุษคนที่ค้นพบเส้นทางเดินเรือจากยุโรป เพื่อจะไปให้ถึงอินเดียคนแรก คือ วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) นักเดินเรืออัจฉริยะชาวโปรตุเกส

วาสโก ดา กามา พร้อมลูกเรือเดนตายชาวโปรตุเกส ยอมเสี่ยงตายในทะเล เขาใช้เวลาเดินทาง 93 วัน ด้วยความลำบากแสนสาหัส จนเกือบสิ้นหวัง

ในที่สุดจึงค้นพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดีย ลูกเรือของ วาสโก ดา กามา ขาดน้ำดื่ม ขาดอาหาร รอดตายหวุดหวิด ไปขึ้นบกแบบสะบักสะบอมที่ชายฝั่งมาละบาร์ (Malabar Coast) ที่เมือง Calicut (ปัจจุบันคือเมืองโคชิโคด ทางฝั่งตะวันตกของประเทศอินเดีย)

ปมความลับที่ดำมืดเรื่องเส้นทางเดินเรือจากยุโรปมาทวีปเอเชีย ปลิดชีวิตนักเดินเรือทั้งหลายกลายเป็นผีเฝ้าก้นมหาสมุทรไปแล้วนับไม่ถ้วน

“การเดินเรือไปอ้อมปลายแหลมทวีปแอฟริกา” ถือว่าเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อน มีข้อมูลบอกเล่ากันต่อมาว่าทะเลบริเวณนั้นเป็นจุดอันตรายที่สุดในโลก และไม่มีใครทราบว่าถ้าแล่นเรือไปแล้วจะประสบพบเจออะไร?

วาสโก ดา กามา เลยตัดสินใจที่จะต้องขอพิสูจน์ และในที่สุดก็พบดินแดนใหม่ที่เรียกกันว่า “ดินแดนตะวันออก” ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน (ดูแผนที่ประกอบ)

โปรตุเกสกุมข้อมูลลับเรื่องเส้นทางการเดินเรืออ้อมปลายใต้สุดของทวีปแอฟริกามาซีกโลกตะวันออกไว้แต่ชาติเดียว และเรียกเส้นทางสายนี้ว่า “เส้นทางเครื่องเทศ” (Spice Route)

Spice Route ในทะเล คือเส้นทางเดินทางเดินเรือเพื่อการขนส่งและการค้าที่เชื่อมโยงระหว่างโลกฝั่งตะวันตกกับโลกฝั่งตะวันออก เชื่อมโยงตั้งแต่ชายฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น จีน ไปยังหมู่เกาะในอินโดนีเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง และข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนต่อไปยังยุโรป รวมระยะทางอันยาวไกลกว่า 15,000 กิโลเมตร

ชนชาติโปรตุเกสคือพระเอกตัวจริงที่ค้นพบ ควบคุมเส้นทางและกิจการค้า สิ่งที่ต้องทำคือ การเข้าครอบครอง ยึดครองดินแดนบนชายฝั่ง เพื่อเป็นเมืองท่า จอดพักเรือ เติมอาหาร เติมน้ำ ไปตลอดทาง

ตัวสินค้าที่สร้างรายได้ ทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ ที่ทุกคนยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ คือ เครื่องเทศ

โปรตุเกสเดินเรือเพื่อซื้อเครื่องเทศ เช่น อบเชยจากศรีลังกา และอบเชยจีน (cassia) จากจีน รวมทั้งงาช้าง ไหม เครื่องถ้วยชาม โลหะ และเพชรพลอย ระหว่างยุโรปและเอเชีย

คู่แข่งที่เป็นมหาอำนาจทางทะเลของโปรตุเกสในเวลานั้นคือสเปน ซึ่งคอยเฝ้าดูแอบสืบความลับการเดินเรือของโปรตุเกสว่า เรือโปรตุเกสมันแล่นไปเส้นทางไหนถึงได้สินค้ามาขาย

ทั้ง 2 ชนชาติเริ่มมีความระแวงบาดหมางเกือบทำสงคราม จนในที่สุดพระสันตะปาปามาไกล่เกลี่ยให้ตกลงแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน โดยสเปนมีสิทธิในการแล่นเรือสำรวจดินแดนทางด้านตะวันตกของเส้นเมริเดียนที่ 51 และโปรตุเกสได้สิทธิการแล่นเรือสำรวจดินแดนทางด้านตะวันออก

เส้นสมมุติดังกล่าวทำให้กองเรือของสเปนออกสำรวจและเข้าครอบครองดินแดนทวีปอเมริกาใต้เกือบทั้งหมด (ยกเว้นบราซิลซึ่งตกเป็นของโปรตุเกส) และทางซีกตะวันออก ทำให้โปรตุเกสกลายเป็นหนึ่งเดียวในการสร้างจักรวรรดิในทวีปเอเชีย

ผู้เขียนเองก็เพิ่งจะเข้าใจ เรียนรู้ว่ามหาอำนาจ 2 ชาตินี้เค้าแบ่งพื้นที่โลกเป็น 2 ส่วนแบบง่ายๆ เหมือนแบ่งขนมกันกิน

มาเจาะประเด็นเรื่องโปรตุเกสครับ

ชนชาติโปรตุเกส เก่งกล้า สามารถ เดินหน้าเต็มตัวกับดินแดนทางซีกโลกตะวันออก สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการลดทอนอำนาจอิทธิพลของของพวกแขกมุสลิมเปอร์เซียในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย

ด้วยแสนยานุภาพของอาวุธและทหารที่เหนือกว่าทุกชนชาติ ทหารโปรตุเกสสามารถควบคุม ยึดครองเมืองต่างๆ ตามชายฝั่งทะเล และยึดเมืองกัว (Goa) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสันนิบาตมุสลิมในมหาสมุทรอินเดียได้ และใช้เมืองกัวเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโปรตุเกสในซีกโลกตะวันออก

เมืองกัว หรือโกอา เป็นเมืองเล็กๆ ทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอินเดียติดกับทะเลอาหรับ
ส่วนในทวีปเอเชีย โปรตุเกสเข้ายึดเมืองกัวในอินเดีย เกาะลังกา มะละกา เลยไปยึดเกาะมาเก๊า และอีกหลายเมืองในชวา (อินโดนีเซีย)

และแล้ววันหนึ่ง เรือของโปรตุเกสก็แล่นมาถึงอยุธยา ราชสำนัก ขุนนาง อำมาตย์ทั้งหลายต่างกริ่งเกรงในแสนยานุภาพของฝรั่งโปรตุเกส คำถามคือ โปรตุเกสจะมายึดอยุธยาหรือไม่?

เวลาในการคบหาสมาคมผ่านไปนานพอสมควร จึงได้คำตอบว่า ฝรั่งโปรตุเกสเข้ามาอยุธยาเพื่อขอเผยแผ่ศาสนาคริสต์และค้าขาย ไม่มีเรื่องการคุกคามแย่งยึดดินแดนแต่อย่างใด

ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ อยุธยาเคยส่งราชทูตไปที่เมืองกัวแห่งนี้เพื่อตอบแทนการเยือนของราชทูตโปรตุเกส (เมืองกัว ตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสราว 450 ปี)

โปรตุเกสแล่นเรือค้าขายอ้อมโลก รอนแรมมาถึงทวีปเอเชีย ทำมาค้าขึ้น เป็นพ่อค้ามือทอง ร่ำรวยแบบไม่เกรงใจใครไร้คู่แข่งอยู่ราว 100 ปี

ขอชวนท่านผู้อ่านที่เคารพ ทำความรู้จักกับเส้นทางเดินเรือปริศนาที่ วาสโก ดา กามา เสี่ยงตาย รอดมาได้ บริเวณนั้นที่เรียกว่าแหลมกู๊ดโฮป

แหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) คือแหลมที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรแอตแลนติกไม่ไกลจากเมืองเคปทาวน์ (Capetown) ของประเทศแอฟริกาใต้ เป็นแหลมที่สำคัญที่สุดแหลมหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ แต่เดิมมีชื่อว่า “แหลมพายุ” ซึ่งชื่อนี้ไม่เป็นมงคล สร้างความหวาดกลัวแก่กะลาสี ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหมายความว่า “แหลมแห่งความหวังดี”

ทะเลบริเวณแหลมกู๊ดโฮป เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักเดินเรือว่า เป็นพื้นที่ทะเลหฤโหด มีคลื่นในทะเลบริเวณนี้ที่เรียกว่า “คลื่นนักฆ่า” ที่สูง 15-20 เมตร มีเรือมาเคยอับปาง เรือแตกเพราะคลื่นลมไม่เคยปรานีใครให้รอดชีวิตไปได้ มีคนเสียชีวิตกันจำนวนมหาศาล จึงไม่มีใครกลับมาเล่าเรื่องเส้นทางนี้

การเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปเป็นผลสำเร็จของวาสโก ดา กามา ในปี พ.ศ.2031 ตรงกับรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถของอยุธยา

ชนชาติโปรตุเกส คือ คนที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเดินทางในทะเลของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เป็นการค้นพบแผ่นดินทวีปเอเชียที่ชาวตะวันตกไม่เคยมีใครเห็น ไม่เคยมีใครมาถึง

พ.ศ.2139 ชนชาติดัตช์ (ฮอลันดา) และชนชาติอังกฤษ ที่แอบสืบความลับเส้นทางเดินเรือของโปรตุเกสมานาน ก็ล่วงรู้เส้นทางเดินเรือปริศนา จนสามารถเดินเรือมาถึงดินแดนเอเชียจนได้

ขอนำท่านผู้อ่านตีวงแคบลงมา เรื่องของโปรตุเกสกับอยุธยา

พ.ศ.2054 ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เนื่องจากโปรตุเกสยึดครองหัวเมืองชายทะเลตามเส้นทางได้ทั้งหมด และต่อมาเข้ายึดมะละกา เมื่อทราบว่ามะละกาติดต่อค้าขายกับอยุธยา จึงได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี

อยุธยากับโปรตุเกสแลกเปลี่ยนสินค้าอะไรกัน จึงทำให้สนิทสนมกลมเกลียวยิ่งนัก

พ่อค้าโปรตุเกสจัดหาปืนและกระสุนดินดำมาขายให้กองทหารของอยุธยา ทำให้กองทัพของอยุธยามีอาวุธปืนยาว ปืนสั้น ก้าวล้ำนำสมัยกว่าเพื่อนบ้านหลายขุม

อาวุธปืนคาบศิลาที่โปรตุเกสนำเข้ามา เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน เลยกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกใจราชสำนักอยุธยาที่กำลังมีศึกสงครามกับพม่า

สินค้าที่อยุธยาขายให้โปรตุเกส เช่น ข้าว พริกไทย สมุนไพรต่างๆ ไม้กฤษณา กำยาน คราม ครั่งดิบ ไม้สัก งาช้าง สีย้อมผ้า

พ่อค้า นักบวช ทหารจากโปรตุเกสสร้างมิตรไมตรีกับราชสำนักอยุธยาและชาวสยามด้วยความราบรื่น ที่ต้องยกให้เป็น “ฝรั่งมหามิตร”

การค้าในสมัยอยุธยามิได้ใช้เงินตรา หากแต่เป็นการแลกเปลี่ยน คือ การเอาสินค้ามาแลกเปลี่ยนกันโดยตรง

มหามิตรโปรตุเกสค้าขาย เผยแผ่ศาสนา ก่อสร้างคลังสินค้า สร้างโบสถ์คริสต์ ฝึกสอนชายชาวสยามให้เป็นทหาร วางผังเมืองให้อยุธยา แบบสนิทสนม ราบรื่นเป็นเวลากว่า 100 ปี โดยไม่มีชาติตะวันตกใดมาแข่งขัน

หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ.2310 มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า บรรดาชาวยุโรปได้อพยพออกนอกราชอาณาจักรไทย และมีทหารโปรตุเกสบางส่วนที่เข้าร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต่อสู้กับพม่า

ในช่วงกรุงศรีฯแตกครั้งที่ 2 บาทหลวงฝรั่งเศสชื่อ กอรร์ ผู้นำคริสต์ในเวลานั้น ได้ลี้ภัยไปอยู่ในดินแดนเขมร เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยจึงได้เดินทางกลับมาในประเทศไทยพร้อมกับชาวสยามอีก 4 คน และรวบรวมคริสตังที่บางกอกซึ่งมีจำนวนถึง 400 คน ให้มาอยู่รวมกัน

พระเจ้าตากสินสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระเมตตาต่อคริสตัง โดยเฉพาะต่อชาวโปรตุเกส พระองค์พระราชทานที่ดินที่กุฎีจีนสำหรับสร้างโบสถ์ในปี พ.ศ.2312 ชาวคริสต์ได้ตั้งชื่อเป็นภาษาโปรตุเกสว่า วัดซางตาครู้ส นับเป็นแผ่นดินผืนที่สองที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่คริสตังชาวโปรตุเกส

ขอย้อนกลับไปเรื่องการทหารที่โปรตุเกสเข้ามาก่อตั้ง จัดหน่วย ฝึกหัดการใช้อาวุธให้กับชาวสยาม

ทหารชาวโปรตุเกสที่เข้ามาอยุธยา เป็นผู้นำวิชาการทางการทหารแบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ให้แก่คนไทย เช่น วิชาการใช้และทำปืนไฟ การสร้างป้อมต่อต้านปืนไฟ การตัดถนนโดยการใช้เข็มทิศส่องกล้อง เพื่อวางผังเมืองอยุธยา มีทหารอาสาเข้าร่วมรบในสงครามกับพม่าหลายครั้ง จนสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา และที่น่าสนใจ คือการตั้ง “กรมฝรั่งแม่นปืน” ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ลองมาคุยกันเรื่อง “มรดกวิชาการทำขนม” บ้างครับ

ผู้เขียนสืบค้น เรื่องชีวิต การกินอยู่ นิสัย ของชาวโปรตุเกส โดยขออ้างอิงข้อมูลบางส่วนมาจากคุณสินีนาฏ สุวรรณตานนท์ อดีตนักเรียนทุนที่ไปศึกษาในโปรตุเกส ดังนี้ครับ…

ชาวโปรตุเกสให้ความสำคัญกับการกินอาหาร การดื่มอย่างยิ่ง เพราะถือว่าการกิน การดื่ม เป็นการเข้าสังคม โดยเฉพาะมื้อเย็นที่เรียกว่า Jantar จะเริ่มรับประทานประมาณหลัง 20.00 น. ซึ่งจะสรวลเสเฮฮาราว 3-4 ชั่วโมง เป็นลีลาการใช้ชีวิตที่รับมรดกมาจากแขกมัวร์ที่เคยปกครองมาก่อน

ในเรื่องของอาหารการกิน โดยเฉพาะขนมหวานที่เป็นวิชาติดตัวมากับท้าวทองกีบม้า สายเลือดโปรตุเกส

ชาวโปรตุเกสเป็นชนชาติที่ทานขนมหวานมากที่สุดในยุโรป โดยจะรับประทานขนมหลังอาหารกลางวัน และอาหารเย็น มีร้านขายขนมที่ทานกับการจิบกาแฟกลาดเกลื่อนทั่วทุกถนน ร้านเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของชาวโปรตุเกส

ร้านขนมและการจิบกาแฟ เป็นโอกาสที่ชาวโปรตุเกสจะพบปะพูดคุย เจรจาธุรกิจ ซึ่งอุปนิสัยเช่นนี้ก็ได้รับอิทธิพลมาจากแขกมัวร์ที่เคยยึดครองดินแดนแห่งนี้มาก่อนเช่นกัน

… ชาวยุโรปด้วยกันเองก็ยอมรับว่าขนมหวานของโปรตุเกสเอร็ดอร่อยเป็นเลิศในยุโรป การพัฒนาขนมหวานนานาชนิด เกิดขึ้นจากในศตวรรษมี่ 17-18 แม่ชีในคริสต์ศาสนามักจะจัดให้มีการแข่งขันการทำขนมหวาน จึงเกิดสูตรการทำขนมหวานขึ้นหลากหลาย เช่น ขนมเค้ก ขนมพาย ขนมพุดดิ้ง ที่ยังคงแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน สำนักแม่ชีในโปรตุเกสนอกจะทำงานด้านศาสนาแล้วยังเป็นเจ้าสำนักแห่งการคิดค้นผลิตของหวาน

ขนมหวานของชาวโปรตุเกส ส่วนใหญ่ใช้ “ไข่” เป็นหลักและมีเครื่องเทศ เช่น อบเชยป่น วานิลลา เป็นองค์ประกอบ แต่ละเมืองจะมีขนมหวานระดับ “ตัวท็อป” เป็นสินค้าหลักที่โดดเด่น ขนมชื่อ มาร์ซิปัน (Marzipan) ของแคว้นอัลคาร์ฟ ประดิษฐ์เป็นรูปทรงผลไม้ รูปผัก รูปสัตว์ เทียบเคียงได้กับ “ขนมลูกชุบ” ของไทย

ชาวโปรตุเกสที่เข้ามาถึงอยุธยาได้เผยแพร่สูตรการทำขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ลูกชุบ ขนมฝรั่งกุฎีจีน ซึ่งขนมสูตรนี้มี ไข่ แป้ง น้ำตาล เป็นส่วนผสมหลัก

ความรู้การทำขนมถูกถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยอยุธยา มีการดัดแปลง เพิ่มเติมให้เป็นไปตามรสนิยมของคนไทยในรุ่นต่อมา ซึ่งท้าวทองกีบม้า ที่สังคมไทยคุ้นเคยชื่อเสียงของเธอ เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับมรดกทางปัญญานี้มาในฐานะลูกผสมโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ซึ่งโปรตุเกสก็รับสูตรขนมนี้มาจากพวกแขกมัวร์อีกทอดหนึ่ง (ปัจจุบันแขกมัวร์ คือ ชนเผ่าที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา)

ท้าวทองกีบม้า ภรรยาของขุนนางฟอลคอน (ที่ถูกประหารชีวิตในข้อหากบฏ) เธอถูกเกณฑ์ให้เข้าไปรับผิดชอบอาหารคาวหวานในราชสำนักในสมัยพระเพทราชาและพระเจ้าเสือ ได้สร้างสรรค์ ดัดแปลงการทำขนมของชาวตะวันตก แสดงฝีมือการทำขนมหวานโดยใช้มะพร้าว น้ำตาล แป้งข้าวเจ้า เกิดเป็นขนมชนิดใหม่ๆ สำหรับชาวสยามมาจนถึงปัจจุบัน จนทำให้เธอได้รับฉายา “ราชินีแห่งขนมไทย”

พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยอยุธยาทุกพระองค์ทรงไว้วางพระทัยให้การต้อนรับชาวโปรตุเกสด้วยดี ชาวโปรตุเกสเองก็มิได้มีจิตใจที่จะเอาประเทศสยามเป็นอาณานิคม โปรตุเกสเคร่งครัดในกิจการศาสนา

ผ่านมา 500 ปีเศษ โบสถ์ของชาวคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ที่สืบเชื้อสายจากชาวโปรตุเกส 3 แห่ง คือ โบสถ์ของวัดคอนเซ็ปชัญ วัดซางตาครู้ส และวัดกาลหว่าร์ (วัดแม่พระลูกประคำ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์)

พ.ศ.2554 ไทย-โปรตุเกส จัดงานเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ ที่ยาวนานกว่า 500 ปี ….

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image