สถานะ ซับซ้อน ของ ชวลิต ยงใจยุทธ ในทางการเมือง

กรณีของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือ “บิ๊กจิ๋ว” คือ ความสลับซับซ้อน 1 ซึ่งดำรงอยู่ภายในสังคมและการเมืองไทย

ไม่ได้เป็น “เหลือง” ไม่ได้เป็น “แดง”

ตรงกันข้าม เครือข่ายและความสัมพันธ์ ดำเนินไปอย่าง “เกาะเกี่ยว” และ “ยึดโยง” มากมายหลายค่าย หลายสำนัก

จะลากเข้าไปให้อยู่กับ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ได้

เพราะว่าเคยเป็น “รองนายกรัฐมนตรี” ในรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 และต่อมาก็สลายพรรคความหวังใหม่เป็นส่วนหนึ่งกับพรรคไทยรักไทย

ADVERTISMENT

แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ยืนยันว่าไม่ชอบ “ชินดาวงศ์”

ขณะเดียวกัน จะลากเข้าไปอยู่ในสกุลเดียวกันกับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ก็อาจจะอยู่ในระนาบที่เหนือกว่าด้วยซ้ำไป

เพราะเคยทำงานรับใช้ในฐานะ “ทอสอ”

ยิ่งกว่านั้นยังรับบทเป็น “กาวใจ” ให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตลอดช่วง 8 ปีเศษที่ดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกด้วย

ทุกวันนี้ ก็ยัง “โหยหา” และอยากพบ “ป๋า”

ปัจจัยอันสร้างความหนักใจให้กับ “คสช.” เป็นอย่างสูง เป็นปัจจัยจากสถานะซึ่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยอยู่ในฐานะเป็น “ผู้บังคับบัญชา” มาก่อน

ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า พล.อ.ธีรชัย นาควานิช

อย่าลืมเป็นอันขาดว่าหลังจากครองยศเป็น พล.ต.ในตำแหน่งนายทหารคนสนิทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อเดือนตุลาคม 2522

พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เป็น เจ้ากรมยุทธการทหารบก

จากนั้น พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ครองยศเป็น พล.ท.ในตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ แล้วเลื่อนไปเป็นรองเสนาธิการทหารบก ก่อนครองยศเป็น พล.อ.ในตำแหน่งเสนาธิการทหารบก

แล้วก็ขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการทหารบก” ในปี 2529

จากนั้น ยังได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการในตำแหน่งเป็น “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” ควบกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกอีกด้วย

ความโดดเด่นของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คือ ความโดดเด่นในบท “ฝ่ายอำนวยการ”

เป็นฝ่ายอำนวยการชงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นฝ่ายอำนวยการในการประกันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องนับแต่ภายหลังการเลือกตั้งเป็น 2526 กระทั่งลงจากบัลลังก์แห่งอำนาจเมื่อปี 2531 พร้อมกับคำกล่าว

“ผมพอแล้ว”

จากพื้นฐานด้าน “การข่าว” จากพื้นฐานด้าน “ยุทธการ” ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แม้จะอยู่ในวัยเลข 8 ตอนกลาง สรุปตามสำนวนกำลังภายในก็ต้องว่า

มิใช่ “ตะเกียง” อันขาด “น้ำมัน”

น้ำมันในที่นี้ยังสามารถโยงสายยาวไปยังน้ำมันภายในแวดวง “ทหาร” และน้ำมันภายในแวดวงทาง “การเมือง”

รวมทั้งข้าราชการ “พลเรือน”

การขยับและขับเคลื่อนอันมาจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงสร้างความหนักใจให้มากกว่าความสบายใจ

อาจมีน้ำเสียงเยาะเย้ย ไยไพ หมิ่นหยาม ดังขึ้นบ้าง

แต่ถามว่าอาการเยาะเย้ย ไยไพ หมิ่นหยาม ต่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เพิ่งเกิดขึ้นมีขึ้นหรือ หากจำกันได้ก็เยาะเย้ย ไยไพ หมิ่นหยาม ตั้งแต่นั่งเป็นฝ่ายเทคนิคอยู่สถานีวิทยุ 20 แล้ว

แต่สามารถสกัดขัดขวาง ยับยั้งการเติบใหญ่ได้หรือไม่

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถาม “กลุ่มศรีวิชัย” เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถาม “กลุ่มอภิรักษ์จักรี” หรือแม้กระทั่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเปล่งคำ “กูไม่กลัวมึง” ระหว่างปลายปี 2525 ต่อต้นปี 2526 ขณะ “บิ๊กจิ๋ว” ยังเป็นรองเสนาธิการทหารบกด้วยซ้ำไป

เรื่อง “มโน” จึงจิ๊บจ๊อยเพราะผ่านข้อกล่าวหา “สภาเปรซิเดียม” มาแล้ว

และนั่นเป็น “สถานการณ์” ก่อนเดือนพฤษภาคม 2535 มิใช่หรือ

ความสลับซับซ้อนในตัว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กำลังกลายเป็นความสลับซับซ้อนของ “สถานการณ์”

เป็นสถานการณ์ภายหลัง “ร่าง” รัฐธรรมนูญปรากฏในวันที่ 29 มีนาคม เป็นสถานการณ์ก่อนการเข้าสู่กระบวนการ “ประชามติ” ในวันที่ 7 สิงหาคม

ระยะเวลา 4 เดือน 7 วันต่อไปจึงระทึกเป็นอย่างสูง