เป้าหมายหลักของ คสช.ที่เข้ามาบริหารจัดการประเทศคือ ยุติความขัดแย้ง และจัดระเบียบการเมืองใหม่ โดยมองว่าการเมืองเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งในสังคม
ทั้งนี้ เอกสารเจตนารมณ์และนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยเป็น ผบ.ทบ.และหัวหน้า คสช. ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ส่วนหนึ่งได้ระบุถึงเจตนารมณ์และการเลือกตั้งไว้ชัดเจน
โดยเจตนารมณ์ระบุว่า เพื่อยุติความขัดแย้งของคนในชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่น ภายใต้ระบบบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เป็นการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ผ่านกระบวนการดังกล่าวซึ่งเดิมรัฐบาลปกติได้ใช้อำนาจนั้น โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ ในเวทีนานาชาติ บนพื้นฐานของการรักษาผลประโยชน์ชาติ และสร้างความมั่นใจในการลงทุน การประกอบกิจการต่างๆ ของชาวต่างประเทศในประเทศไทย
สร้างเสถียรภาพในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์และยั่งยืน โดยได้รับความเชื่อมั่นจากทุกพวกทุกฝ่าย ประสานแนวคิด แสวงจุดร่วมของผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง โดยมุ่งผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ยกระดับการศึกษา สร้างมาตรฐานของการดำรงชีวิตของประชาชนในสังคมไทย ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างยั่งยืนตลอดไป
ด้านการเลือกตั้งระบุว่า การปรับปรุงระบบการเลือกตั้งให้มีความสุจริต เที่ยงธรรม สะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน โดยครอบคลุมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง กระบวนการคัดสรรผู้สมัคร กระบวนการตรวจสอบการเลือกตั้ง ฯลฯ ทุกภาคส่วนจะมีส่วนร่วมในการปรับปรุงระบบการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เป็นไปตามธรรมนูญการปกครองที่จะได้ประกาศให้ทราบต่อไป
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้แต่งตั้้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ จำนวน 11 คณะ
1 ใน 11 คือ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งแม้ คสช.และรัฐบาลจะมีนโยบาย มีแผนการปฏิรูป สร้างแนวทางการเมืองแบบใหม่ โดยกำหนดกติกาการเลือกตั้งใหม่ รวมทั้งขั้นตอนและเส้นทางการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่ดูเหมือนว่าการเมืองได้ย้อนกลับสู่วังวนเดิม แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“การเมือง” ที่เป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ซึ่งนิ่งสงบไปกว่า 3 ปี เริ่มกลับมาอีกครั้้ง
มีการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองทั้งใหม่และเก่า
มีการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายอำนาจ
มีการเดินสายพบปะประชาชน และโชว์แนวนโยบาย
รูปแบบและวิธีการเดิมๆ ไม่ว่า จะเป็นการดูดอดีต ส.ส.หรือกลุ่มการเมืองให้เข้าร่วมพรรค การเดินสายพูดคุยเพื่อสร้างพันธมิตรและเครือข่ายสนับสนุนก็ถูกนำมาใช้
ทั้งยังมีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างราคาและเสนอตัว
ที่เคยเป็นพันธมิตรก็เริ่มตีตัวออกห่าง เพื่อรักษาคะแนนนิยมและเสียงจากพลังหนุน
การดิสเครดิตและใช้วาทกรรม ในทำนอง “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดี มีคุณธรรม กลับมาให้เห็นอีกแล้ว
โดยวิธีการเดิมๆ เหล่านี้ ไม่ใช่แนวทางการปฏิรูปการเมืองใหม่
4 ปีของการปฏิรูปการเมืองจึงไปไม่ถึงไหน
ที่ไปไกลคือ ย้อนยุคก่อน 22 พฤษภาคม 2557
ทรงพร ศรีสุวรรณ