ลมเปลี่ยนทิศ โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ขอเอานามปากกาของ คุณสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ มาเป็นชื่อข้อเขียนในวันนี้

ลมที่พัดพาฝนมาตกในบ้านเรา จะมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดพาเมฆฝนจากทะเลอันดามัน มาตกในประเทศไทย คลื่นลมดังกล่าวจะทำให้คลื่นในทะเลอันดามันสูงกว่าฝั่งอ่าวไทย ต่อเมื่อผ่านเดือนมิถุนายนไปแล้วลมก็จะเปลี่ยนทิศกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น ซึ่งจะพาฝนจากมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะเริ่มจากญี่ปุ่น ไต้หวัน และจะพัดต่ำลงเรื่อยๆ จนลดระดับมาถึงเกาะฮ่องกง พัดเข้าสู่เวียดนามเหนือกลายเป็นร่องความกดอากาศต่ำ นำฝนมาตกทางภาคเหนือของบ้านเรา ลมไต้ฝุ่นอันเกิดจากร่องความกดอากาศต่ำหรือดีเปรสชั่น จะค่อยต่ำลงมาเรื่อยๆ จากภาคเหนือลงมาภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง มาถึงกรุงเทพฯประมาณปลายเดือนกันยายน ตุลาคม บางครั้งก็เกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯไปจนเกือบถึงพฤศจิกายน แล้วก็ลงใต้ไปจนถึงเดือนธันวาคม ไปหนักอยู่ทางภาคใต้ ลมฝนจึงเปลี่ยนกลับมาเป็นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้อีก วนเวียนไปตามลมของบ้านเรา

ส่วนการเมืองบ้านเรา ก็เหมือนลมฝนที่เปลี่ยนทิศกลับไปกลับมา ระหว่างลมมรสุมที่พัดมาจากทิศตะวันตก กับลมไต้ฝุ่นที่พัดมาจากทิศตะวันออก

เมื่อหลายปีก่อน ลมก็พัดมาจากฟากหนึ่งของสังคม พรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สามารถตั้งรัฐบาลอยู่ได้จนครบวาระ 4 ปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย สามารถชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อมีการเลือกตั้งอีก เกิดรัฐประหารขึ้นอีก หลังรัฐประหารพรรคเพื่อไทยหรือพรรคไทยรักไทยเดิมก็ชนะการเลือกตั้งอีก ประเทศไทยจึงมีนายกรัฐมนตรีหญิงเป็นครั้งแรก แต่ในที่สุดก็เกิดรัฐประหารกลับไปสู่ระบบเผด็จการทหารอีกวาระหนึ่ง

Advertisement

ฉีกรัฐธรรมนูญเก่าแล้วก็ร่างใหม่และเพื่อให้มีความชอบธรรมมากขึ้นจึงจัดให้มีประชามติ ซึ่งปรากฏว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ได้คะแนนการยอมรับอย่างล้นหลาม แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยรัฐบาลทหาร ที่ไม่เปิดโอกาสให้ได้แสดงความเห็น ไม่มีโอกาสให้คัดค้านอย่างเปิดเผย รัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าของร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่มีโอกาสให้ความเห็นสนับสนุน ส่วนฝ่ายอื่นๆ ไม่มีโอกาสใช้สถานีวิทยุหรือสื่อโทรทัศน์ แสดงความเห็นเป็นอย่างอื่นได้

โดยเริ่มจากมีขบวนการต่อต้านรัฐบาล เมื่อรัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย ซึ่งสามารถระดมคนที่มาร่วมชุมนุมได้เป็นจำนวนมากในระดับเรือนแสน จนผู้จัดการชุมนุมเรียกว่ามวลมหาประชาชน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลที่ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วให้ลาออก แม้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าต้องอยู่ต่อไปจนกว่ารัฐบาลใหม่จะได้ถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับหน้าที่ แต่ฝ่ายต่อต้านก็ไม่ยอม

กองทัพประกาศตัวเป็นกลางระหว่างรัฐบาลฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายชุมนุมต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเท่ากับใส่เกียร์ว่าง ไม่ยอมรับอำนาจบังคับบัญชาของรัฐบาล ซึ่งใครๆ ก็เข้าใจได้ว่ากองทัพไม่อยู่กับฝ่ายรัฐบาลเสียแล้วและยังได้ไปอยู่กับฝ่ายชุมนุม ในที่สุดกองทัพก็ประกาศยึดอำนาจ ขับไล่รัฐบาล จับกุมฝ่ายที่ชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล สถาปนารัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นบริหารประเทศ

Advertisement

ในบรรดากลุ่มที่ก่อการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เริ่มจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นโดยผู้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วก็เกิดการชุมนุมต่อเนื่อง ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ประกาศปิดกรุงเทพฯ กระแสลมพัดแรงหนุนฝ่ายต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคการเมืองฝ่ายค้านประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้ง การเลือกตั้งจึงมีพรรครัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ารับจ้างลงเลือกตั้ง เพื่อให้มีผู้สมัครเกินกว่าคนหนึ่ง

การชุมนุมปิดกรุงเทพฯก็เกิดขึ้น เจ้าพนักงานตำรวจไม่อาจจะรักษาสถานการณ์ได้ ถนนหนทางถูกปิด มีการนำนักรบศรีวิชัยมาจากภาคใต้ ได้รับการต้อนรับจากชาวกรุงเทพฯเป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่สามารถติดต่อกับทางราชการตามปกติได้ เพราะมีการนำนักรบดังกล่าวไปปิดสถานที่ราชการ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ข้าราชการไม่อาจเข้าไปทำงานตามหน้าที่หรือให้บริการกับประชาชนได้ แกนนำทั้งที่เคยเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างก็ฮึกเหิม จนกระทั่งกองทัพใช้เป็นข้ออ้างในการทำปฏิวัติรัฐประหารและสามารถสถาปนารัฐบาลทหาร ถือครองอำนาจมาจนครบ 4 ปี

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมาจะเข้าปีที่ 5 บรรดาผู้ที่เป็นผู้ดู ผู้สังเกตการณ์อยู่ “ข้างสังเวียน” ก็รู้สึกประหลาดใจที่ผู้นำกองทัพกลับเปลี่ยนท่าที เมื่ออัยการสั่งฟ้องแกนนำที่พามวลชนไปยึดสนามบิน ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินถึง 400 ล้านบาท และสั่งฟ้องแกนนำผู้ชุมนุมในข้อหาอั้งยี่และซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา

ที่ประหลาดใจมากก็คือการจับกุมพระภิกษุที่เป็นแกนนำในการชุมนุมปิดถนนแจ้งวัฒนะ ที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ บังคับตำรวจให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าพระภิกษุ ผู้เป็นแกนนำผู้หนึ่งในการชุมนุมและออกเดินขบวนประท้วง คู่ขนานไปกับการชุมนุมของมวลมหาประชาชน

หน่วยคอมมานโดเข้าจู่โจมตอนรุ่งสาง โดยที่ยังไม่ตื่นจากการจำวัด ควบคุมไปจับสึก ถอดผ้าเหลือง ให้สวมเสื้อกางเกงสีขาวแทนและถูกส่งไปยังเรือนจำ เพราะศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวเพื่อปล่อยชั่วคราว เพราะมีข้อหาที่รุนแรง กล่าวคือตำรวจตั้งข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ทำร้ายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามหน้าที่และใช้สัญลักษณ์พระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยโดยไม่ได้ขออนุญาต ขณะเดียวกันผู้คนทั่วไปก็คาดการณ์ว่าคงจะมีการจับกุมอีกหลายคน

การที่กลุ่มพันธมิตรก็ดี กลุ่มมวลมหาประชาชนก็ดี ได้เห็นผู้นำถูกจับกุมทั้งๆ ที่ยังครองผ้าเหลืองอย่างที่เห็นอยู่นี้เท่ากับ “ลมเปลี่ยนทิศ” เสียแล้ว จากที่เคยพัดจากตะวันตกเฉียงใต้ มาเป็นพายุไต้ฝุ่นพัดจากตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับทุกฝ่ายที่เป็นตัวละครในละครนอกเวที ที่ไม่แสดงในสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา มาเป็นการเมืองบนถนน ยึดครองที่สาธารณะเช่นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน สี่แยกราชประสงค์เป็นที่แสดงละครการเมือง ไม่ใช่การชุมนุมที่สงบปราศจากอาวุธตามที่อนุญาตไว้ในรัฐธรรมนูญเสียแล้ว

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็เท่ากับลมได้เปลี่ยนทิศทางไปเสียแล้ว คนที่เคยเป็นพระเอกเป็นคนดี ก็กลายเป็นคนไม่ดีและกลายเป็นผู้ร้ายไปแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายไปพบกันในคุก อาจจะไปพบปะคุยกันแล้วก็ได้ อาจจะยังไม่มีข่าวในสื่อมวลชนหลัก แต่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสภากาแฟ ออกรสกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเอาคลิปวิดีโอภาพในอดีตเมื่อครั้งยังรุ่งเรือง นายทหารใหญ่ที่นำปฏิวัติรัฐประหารได้เข้าไปกราบนมัสการรับพรมน้ำมนต์ ภาพเมื่อครั้งไปนั่งบัญชาการพร้อมๆ กับผู้ชุมนุมของมวลมหาประชาชน ท้าทายกฎหมาย เพราะกฎหมาย “ใส่เกียร์ว่าง” กระแสลมเปลี่ยนทิศพัดรุนแรงยิ่ง

บัดนี้ลมกำลังเปลี่ยนทิศทางมาเป็นพายุหย่อมความกดอากาศต่ำ ที่พัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พัดพาเอาหัวหน้าผู้ชุมนุมที่สั่งปิดและยึดถนนแจ้งวัฒนะ สั่งให้จับตำรวจมาซ้อม ต้องถูกตำรวจจับสึก ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเข้าไปอยู่ในคุก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาขอโทษที่ตำรวจทำรุนแรง ใช้ค้อนปอนด์ทุบกุญแจเข้าไปจับกุม ความจริงเราก็เคยเห็นตำรวจเมื่อเข้าจับกุมผู้ร้ายที่มีคนคุ้มกันมีอาวุธก็ดำเนินการเช่นว่าเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ตำรวจนำสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เข้าไปทำข่าวอย่างใกล้ชิด เราก็เลยเห็นปฏิบัติการของตำรวจ

ข่าวการจับสึก ข่าวศาลไม่ให้ประกันตัว ไม่น่าเป็นข่าวธรรมดา แต่เป็นการให้สัญญาณว่า ลมกำลังเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว และคงจะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมีการจับกุมเพิ่มเติมมากขึ้นไปอีก

การปรับตัวของทุกฝ่ายก็คงจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชน คอลัมนิสต์ ที่เคยฝักใฝ่อยู่กับฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องปรับตัวมาปิดปากเงียบ หรือไม่ก็ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพราะผู้คนกลุ่มนี้พร้อมจะเปลี่ยนไปตามกระแสที่สร้างขึ้นโดยผู้มีอำนาจอยู่แล้ว

การปรับตัวแม้จะเกิดขึ้น แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย เพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากจนผู้เสพข่าวอย่างพวกเราตามไม่ทันว่าอะไรเกิดขึ้น ทำไมพายุฝนจึงเปลี่ยนทิศทาง จนทำให้ พล.อ. 3 ป. ต้องออกมาขอโทษขอโพยนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระภิกษุที่สถาปนาตนเองเป็นหลวงปู่พุทธะอิสระทั้งที่ยังหนุ่มแน่น เริ่มจากการเป็นเกจิอาจารย์ แล้วก็มาเป็นแกนนำชุมนุมทางการเมือง จบลงด้วยการถูกจับกุม ต้องคดีทางอาญาร้ายแรง เป็นอุกฤษฏ์โทษ

บ้านเมืองกลับมามีขื่อมีแปสักที จะได้สงบ

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image