เดินหน้าชน : ‘พลังประชารัฐ’ ท้าชน‘ทักษิณ’

ฉายภาพ ภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ออกมายืนยันว่า ขณะนี้มีอดีต ส.ส. และอดีต ส.ว.จากหลายพรรคแจ้งจะย้ายเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศแล้วเกือบ 60 คน
ทุกคนเชื่อมั่นในผู้นำพรรคและนโยบายพรรค สามารถแก้ปัญหาทุกกลุ่มได้ ที่สำคัญพรรคจะเน้นประโยชน์กับประชาชนเป็นหลัก หลายคนจึงมั่นใจว่าถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ พรรคพลังประชารัฐจะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

หากพูดชื่อ ชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม ที่เข้ายื่นขอแจ้งเตรียมจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ ถือว่าเป็นบุคคลที่โนเนมทางการเมืองยิ่งนัก

ดังนั้น อดีต ส.ส.เกือบ 60 คนไหลบ่าเข้ามาร่วมชายคาหลังนี้ ย่อมมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน

เมื่อกางชื่ออดีต 60 ส.ส. ซึ่ง “ภิรมย์” บอกว่า ส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ส.ประเภทดาวฤกษ์ มีผลงาน ไม่ต้องเกาะกระแสพรรคก็สอบได้ พร้อมยืนยันข้อมูลวันที่ 2 มิ.ย.ว่ามีทั้งหมด 54 คน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เหนือและอีสาน ซึ่งเป็นฐานหลักของพรรคเพื่อไทย อาทิ นายบัวสอน ประชามอญ อดีต ส.ส.เชียงราย นายปัญญา จีนาคำ อดีต ส.ส.แม่ฮ่องสอน นายยรรยงค์ ร่วมพัฒนา อดีต ส.ส.สุรินทร์ นายปัญญา ศรีปัญญา อดีต ส.ส.ขอนแก่น พ.ต.ดร.สรชาติ สุวรรณพรหม อดีต ส.ส.หนองบัวลำภู นายสุชาติ ศรีสังข์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม นายเกษม มาลัยศรี อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด นายสมคิด บาลไธสง อดีต ส.ส.หนองคาย หรือ นายมานะ คูสกุล อดีต ส.ส.นครพนม นั้น

Advertisement

ชื่อเหล่านี้คอการเมืองเก่าๆ ย่อมคุ้นหน้าคุ้นเสียง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อดีต ส.ส.เหล่านี้หายหน้าไปจากแวดวงการเมืองมานานพอสมควร

ยิ่งจับน้ำเสียงของ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานภาคอีสาน ออกมาชี้แจงว่า คำว่า ส.ส.อีสานนั้น พรรคเพื่อไทยแบ่งเป็นแถวที่ 1, 2 และ 3 โดยแถวที่ 1 จะยึดเอาบัญชี ส.ส.ที่สอบได้เมื่อปี 54 และปี 57 เป็นหลัก ยืนยันว่า ส.ส.แถว 1 ภาคอีสานของพรรคเพื่อไทยแทบไม่มีใครไปเลย

เช่นเดียวกับ สามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย บอกว่า คนเหล่านี้เป็นอดีต ส.ส.ที่เคยเป็น ส.ส.ของเรา แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาล่าสุดก็ไม่มีใครในรายชื่อเหล่านี้ได้ลงในนามพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าอดีต ส.ส.ภาคเหนือคนที่เป็นตัวจริงก็ยังอยู่ครบ

Advertisement

ดังนั้น 54 รายชื่อที่เปิดออกมาแท้จริงแล้วคืออดีต ส.ส.สอบตกมาแล้วอย่างน้อย 1-2 สมัยแทบทั้งสิ้น เหตุผลหนึ่งที่อดีต ส.ส.เหล่านี้ไม่ได้ลงในนามพรรคเพื่อไทย คงต้องย้อนกลับได้ดูยุทธศาสตร์ที่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือ พรรคเพื่อไทย คัดกรองผู้สมัครลงในนามพรรคซึ่งใช้อย่างได้ผลและชนะเลือกตั้งแทบทุกครั้ง

สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวเรือใหญ่ นำมาใช้ คือ นำหลักวิชาการมาประยุกต์ใช้ในการทำงานการเมือง นั้นคือ “โพล” หรือ “การสำรวจความคิดเห็น”
“ทักษิณ” ใช้โพลเพื่อให้ทราบถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กำหนดประเด็นในการรณรงค์เลือกตั้งแต่ละพื้นที่ รวมถึงมีทีมวิจัยนโยบายของพรรคที่ลงสำรวจความนิยมของทั้งอดีต ส.ส. และผู้สมัครหน้าใหม่เพื่อหาผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุด

นอกจากนี้ ระหว่างที่ครองอำนาจบริหารประเทศ ก็ได้ใช้ประโยชน์จากโพลของราชการ เพราะโพลเหล่านี้ใช้กลไกรัฐในการสอบถาม ซึ่งถือว่ามีความเที่ยงตรงสูงยิ่ง มีข้อมูลที่ลึกและละเอียด อาทิ โพลกำนันผู้ใหญ่บ้าน โพลสันติบาล โพลตำรวจ โพลกรมการปกครอง

เมื่อนำผลโพลเหล่านี้มาประมวลวิเคราะห์เพื่อจัดแผนการรณรงค์และจัดตัวผู้สมัครได้อย่างถูกต้อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในความสำเร็จของ “ทักษิณ”

จากนี้ต้องจับตามองย่างก้าวของพรรคพลังประชารัฐที่หลายคนบอกว่านี่คือนอมินีของ คสช. โดยเฉพาะภาพการกวาดต้อนอดีต ส.ส.เข้าสังกัดเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า

คสช.คงหวังใช้ชื่อชั้นของอดีต ส.ส.เหล่านี้ที่คุ้นเคยกับพื้นที่ ประสานกับนโยบายประชารัฐ ผนวกทุ่มงบฯมหาศาลลงพื้นที่หวังเก็บเกี่ยวคะแนนเสียงตีตื้นสกัดพรรคเพื่อไทยจากฐานเสียงภาคอีสานและเหนือที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดของประเทศ

เดิมพันครั้งนี้นอกจากผลแพ้-ชนะเลือกตั้งแล้ว เท่ากับเป็นการพิสูจน์บารมีของ “ทักษิณ” ว่าอดีต ส.ส.เหล่านี้เมื่อต้องสู้กับเงา “นายใหญ่” จะส่องสว่างเป็นดาวฤกษ์หรือเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์เท่านั้น

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image