ในหลวงทรงอยู่เคียงข้างประชาชน ปฏิบัติการช่วย “ทีมหมูป่า” ความสำเร็จจากพลังความรักสามัคคี

นับตั้งแต่วันที่ทรงตอบรับขึ้นทรงราชย์เป็น พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยทุกข์สุขของพสกนิกรและทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขอาณาประชาราษฎ์ สมดั่ง “พระราชดำรัส” ในวันเสด็จขึ้นทรงราชย์ 1 ธันวาคม 2559 ความว่า

“ตามที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา ได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทย เชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมนเทียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ข้าพเจ้าขอตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธาน และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง”

ดั่งเช่นในปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี่ทั้ง 13 ชีวิต ที่สูญหายไปในถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมพระราชทานกำลังใจ พระราชทานความช่วยเหลือต่างๆ จนกระทั่งสามารถช่วยเหลือเยาวชน 12 คน และโค้ช 1 คนออกมาจากถ้ำและคืนกลับสู่อ้อมอกครอบครัวอย่างปลอดภัย

Advertisement

โดยภายหลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวการสูญหายของ 13 ชีวิตทีมหมูป่า ในวันถัดมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสถึง นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในขณะนั้น ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ว่า

“ทรงห่วงใยและหวังให้เด็กๆ ปลอดภัย”

นับเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ที่มาชโลมหัวใจผู้ปกครองของเด็กๆ ทีมหมูป่าทุกคน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา น้ำพระราชหฤทัยยิ่งหลั่งไหลมาสู่ “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน”

Advertisement

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งผ่านราชเลขานุการในพระองค์ว่า พระองค์ทรงห่วงใยเยาวชนทุกคน รวมทั้งให้กำลังใจเยาวชนและครอบครัว รวมทั้งพระราชทานพรให้ปลอดภัย นอกจากนี้ พระองค์พระราชทานพรให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทุกฝ่าย ขอให้สำเร็จ” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว

พร้อมทั้ง พระราชทานคำแนะนำด้วยว่า

“พระองค์พระราชทานคำแนะนำเรื่องการบริหารจัดการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกฝ่าย ทรงให้แนวทางโดยสรุปว่า ให้แบ่งพื้นที่ส่วนหน้า ส่วนหลัง ส่วนสนับสนุน สำหรับประชาชน หรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานก็ให้ไปอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่ง เพื่อจะได้ไม่กีดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่”

ไม่เพียงพระราชทานกำลังใจ ยังพระราชทาน “โรงครัวพระราชทาน” จิตอาสาเราทำความดี ด้วยหัวใจ เพื่อปรุงอาหารสำเร็จแจกจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งผู้ปกครอง สื่อมวลชน และประชาชนที่มาเกาะติดสถานการณ์ ได้อิ่มท้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเด็กๆ

ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติการค้นหา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยและทรงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งผ่านรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนว่า

“จะเห็นได้ว่าทุกข์สุขของพสกนิกรปวงชนชาวไทยทุกหย่อมหญ้า แม้จะนวนเพียง 13 คน จากเกือบ 70 ล้านคน ก็อยู่ในพระเนตรพระกรรณของพระองค์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ธรรมชาติตั้งโจทย์ยากให้กับมนุษย์ และเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างในการช่วยเหลือเยาวชนทีมหมูป่าไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ค้นหาทีมหมูป่าได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดดำน้ำ ขวดอากาศ เร็กกูเรเตอร์ หลอดไฟต่างๆ เป็นต้น

โดยนายณรงค์ศักดิ์ได้กล่าวในวันแถลงปิดศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ภายหลังช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตได้สำเร็จว่า

“เปิดศูนย์มา 17 วัน เมื่อวานได้ประกาศความสำเร็จ มิสชั่น พอสซิเบิล เป็นภารกิจสำคัญที่ไทยสร้างชื่อเสียงระดับโลก การทำงานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงติดตามด้วยความห่วงใย และทรงชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย พระองค์พระราชทานกำลังใจ สิ่งของ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่บางครั้งพวกเราไม่สามารถหาตามท้องตลาดได้ พระองค์พระราชทานมาได้ทันเวลา เพื่อช่วยน้อง 13 คนได้ทันเวลา ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ พวกเราถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พวกเราขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสืบไป”

ตลอด 17 วันแห่งการค้นหา และท้ายที่สุดเสียงแห่งความยินดีก็กึกก้องไปทั่วประเทศไทยและทั่วโลก เมื่อทั้ง 13 หมูป่าออกมาจากถ้ำอย่างปลอดภัย

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยินดีด้วยเช่นกัน โดยทรงมีพระราชสาส์นแสดงความยินดี ความตอนหนึ่งว่า

“ข้าพเจ้ามีความปลื้มใจยินดีและโล่งใจมาก ที่ได้ทราบว่าเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้พบนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี่รวม 13 คน ซึ่งสูญหายไปในถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2561 แล้ว โดยทุกคนปลอดภัยดี นับเป็นข่าวดีที่เราชาวไทย ตลอดจนชาวต่างประเทศ ที่ได้ติดตามความคืบหน้าของการค้นหามาโดยตลอด ต่างก็มีความชื่นชมยินดีถ้วนหน้า”

และมีพระราชกระแสให้ “ถอดบทเรียนกรณีช่วยชีวิตการช่วยชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี่”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อต้องสูญเสีย “จ่าแซม-จ.อ.สนาม กุนัน” เจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุ การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นักทำลายใต้น้ำจู่โจมนอกราชการ วีรบุรุษถ้ำหลวงไปอย่างไม่มีวันกลับระหว่างปฏิบัติหน้าที่

การจากไปของจ่าแซม มิได้นำมาซึ่งความโศกเศร้าของประชาชนคนไทยเท่านั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสียพระราชหฤทัย และทรงช่วยซับน้ำตาผู้สูญเสีย โดยทรงมีพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พร้อมพวงมาลาหลวงพระราชทาน ทรงรับศพจ่าเอกสมาน กุนัน ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้ง 7 วัน และรับสั่งให้ประกอบพิธีศพอย่างสมเกียรติ

พระองค์รับสั่งให้ดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด

ดั่งน้ำทิพย์ที่มาชโลมใจครอบครัวของจ่าแซมในวันที่ทุกข์แสนสาหัส และยิ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดของครอบครัว “กุนัน” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ “นาวาตรี” และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก เป็นกรณีพิเศษ แก่ “จ.อ.สมาน กุนัน” ผู้ประกอบคุณงามความดี อุทิศชีวิตช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนเสียชีวิต

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน “ข้อคิด” ให้แก่ปวงชนชาวไทยจากเหตุการณ์นี้ว่า

“น่าชื่นชมยินดียิ่งนัก ที่ปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเรื่องสุดวิสัย และไม่มีผู้ใดคาดคิด ปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือจึงต้องกระทำอย่างปัจจุบันและเร่งด่วน แต่ทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็สามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม และทุกภาคส่วนก็ระดมสรรพกำลังกันมาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ต่างยอมเสียสละกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ และยอมสละแม้ชีวิตของตน ส่วนผู้ประสบภัยเองนั้น ต่างก็ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่เกิดเหตุ ประกอบกับการที่ประชาชนทั่วโลกก็ส่งกำลังใจมายังผู้ประสบภัยและผู้ปฏิบัติการช่วยเหลืออย่างท่วมท้น จึงกล่าวได้ว่าปฏิบัติการครั้งนี้แม้จะมีความยากลำบาก แต่ก็มีสิ่งที่ดีและมีคุณค่าบังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจประมาณได้

ข้าพเจ้าขอขอบใจทุกคนทุกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง และหวังว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจที่จะทำให้ทุกคนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า การบริหารจัดการที่ดี การใช้ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ให้พอเหมาะพอดีกับสถานการณ์ การปฏิบัติตนและปฏิบัติการอย่างรอบคอบ มีวินัย มีสติ ตลอดจนการรู้หน้าที่ของตน และปฏิบัติหน้าที่ให้ประสานส่งเสริมกับทุกคนทุกฝ่ายโดยเต็มกำลังเป็นเครื่องมืออย่างสำคัญ ที่จะสามารถนำไปใช้แก้ไขอุปสรรคปัญหา รวมทั้งพัฒนาบ้านเมืองของเราได้ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้วยความรักความปรารถนาดีต่อกันนั้น เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุกยั่งยืนตลอดไป”

ตลอดระยะเวลา 17 วันแห่งปฏิบัติการที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงลงอย่างงดงาม ทั้งจากความร่วมมือร่วมใจของคนไทย และชาวต่างชาติ

และเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์อย่างต่อเนื่องเสมอมา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image