ไม่หวั่นอากาศร้อน! ปชช.สวมเสื้อเหลืองปักหลักหน้าวัดราชบพิธ รอชมริ้วขบวน ‘เสด็จฯเลียบพระนคร’
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนจากทั่วสารทิศต่างพร้อมใจสวมเสื้อเหลืองและชุดสุภาพมาปักหลักเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อชื่นชมพระบารมี และริ้วขบวนที่ 3 ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศพยุหยาตราสถลมารค ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จขึ้นประทับพระราชยานพุดตานทอง เสด็จฯไป 3 วัด ได้แก่ วัดบวรนิเวศวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ตามลำดับ เพื่อทรงนมัสการพระพุทธปฏิมาประธาน และพระบรมราชสรีรางคาร ตลอดเส้นทางเสด็จฯ รวมระยะทางประมาณ 6.77 กิโลเมตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนทั่วไปและผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับบริเวณดังกล่าว ต่างมาจับจองที่นั่งบริเวณสองฝั่งถนนหน้าวัดราชบพิธ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรวจตราและรักษาความปลอดภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครได้กวาดถนนเพื่อเตรียมความเรียบร้อย ตลอดจนจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่คอยเดินเก็บขยะ ทั้งนี้ ประชาชนเจ้าของตึกแถวและบ้านเรือนตลอดสองฝั่งถนนหน้าวัดราชบพิธต่างประดับตกแต่งด้วยธงชาติ และธงตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ป้ายข้อความถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมฉายาลักษณ์เกี่ยวกับพระราชประวัติตลอดจนพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์
นอกจากนี้ประชาชนยังเตรียมพร้อมมาอย่างดี โดยต่างพกอุปกรณ์กันแดด เช่น ร่ม หมวก ปลอกแขน ตลอดจนผ้าปูรองนั่ง อาหาร และน้ำดื่มมาพร้อม
นางสมจิต ชูรักษา อายุ 85 ปี เดินทางมาจากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เผยว่า ตนตั้งใจมาเฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเดินทางมาพร้อมกับลูกชายสองคนที่ไปสมัครเป็นจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ส่วนตนเดินไม่ไหวแล้วก็ขอมาปักหลักรอรับเสด็จแทน
“ยายอยู่มาหลายรัชสมัยตั้งแต่รัชกาลที่ 7 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ตอนในหลวงรัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์สมัยนั้นอยู่บ้านนอก ไม่มีทีวี อาศัยฟังจากวิทยุเอา ครั้งนี้มีโอกาสก็เลยไม่พลาดที่จะมาร่วมงานพระราชพิธีให้ได้ อยากมาเห็นพระองค์จริง ซึ่งตอนวันซ้อมก็อยากมา แต่ร่างกายไม่ค่อยไหวเลยติดตามผ่านทีวีแทน ดูตลอดเลยทั้งถ่ายทอดสดและข่าวพระราชสำนัก โดยเฉพาะพระราชพิธีเมื่อวาน ยิ่งใหญ่มาก รู้สึกปลื้มปีติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสง่า และสมเด็จพระราชินีทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่ง” นางสมจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม
