พระราชนิพนธ์เล่มแรก’ในหลวง ร.9′ ความในพระราชหฤทัยที่มีต่อประชาชน

น้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ครั้งเมื่อเสด็จฯไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489 ภายหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 9 ในราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 พระองค์ทรงบันทึกแสดงความรู้สึกตลอดถึงเหตุการณ์ที่ทรงได้ประสบตลอด 6 วัน จากแผ่นดินสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์ ผ่านพระอักษรรวมเป็นบันทึกการเดินทาง “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องแรกที่มีพระบรมราชานุญาตพิเศษให้หนังสือ “วงวรรณคดี” ตีพิมพ์ฉบับประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ.2490

หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ขออัญเชิญมาตีพิมพ์เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้ร่วมรำลึกถึงพระองค์ ความตอนหนึ่งว่า

“วงวรรณคดี ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ถนัด มาลงในหนังสือนี้นานมาแลัว อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ใช่นักประพันธ์ เมื่ออยู่โรงเรียน เรียงความและแต่งเรื่องก็ทำไม่ได้ดีนัก อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าก็ปรารถนาที่จะสนองความต้องการของวงวรรณคดีอยู่บ้าง และเนื่องด้วยไม่สามารถที่จะเขียนเรื่องที่ข้าพเจ้ารู้บ้าง เช่น ดนตรี ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือกฎหมาย ฯลฯ ได้ เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ดีพอ ฉะนั้นจึงตกลงใจส่งบันทึกประจำวันที่เขียนไว้ก่อน และระหว่างวันเดินทางจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์มาให้”

บันทึกประจำวันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2489

Advertisement

“อีกสามวันเท่านั้น เราก็ต้องจากกันไปแล้ว ฉะนั้นจึงตั้งใจจะไปนมัสการพระพุทธชินสีห์ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชด้วย เมื่อไปถึงวัดบวรนิเวศวิหารตอนบ่ายวันนี้ มีประชาชนผู้รู้ว่าข้าพเจ้าจะมายืนรออยู่บ้าง แต่ไม่สู้มากนัก…ตอนนี้มีราษฎรชุมนุมกันหนาขึ้น ต่างก็ยัดเยียดเบียดเสียดกันจนรู้สึกเกรงไปว่ารถที่นั่งมาจะทับเอาใครเข้าบ้าง ช่างเคราะห์ดีแท้ๆ ที่ไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น

แก่ประชาชนที่มานั้นเลย ในหมู่ประชาชนที่มารอรับกันอยู่วันนี้ จำได้ว่าบางคนเคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด ไม่รู้ว่าหาเวลาจากไหนจึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พวกนี้ก็มาที่วัดด้วยเหมือนกัน”

วันที่ 17 สิงหาคม “เก็บของลงหีบแล้วเตรียมตัว”

Advertisement

วันที่ 18 สิงหาคม “เราจะต้องจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว อะไรก็จัดเสร็จหมด หมายกำหนดการก็มีอยู่พร้อม บ่ายวันนี้เราไปถวายบังคมพระบรมอัฐิของพระบรมราชบุพการีของเรา ทั้งสมเด็จพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลก่อนๆ แล้วก็ไปถวายบังคมทูลลาพระบรมศพ เราต้องทูลลาให้เสร็จในวันนี้ และไม่ใช่พรุ่งนี้ตามที่ได้กะไว้แต่เดิม เพื่อจะรีบไม่ให้ชักช้า เพราะพรุ่งนี้จะได้มีเวลาแล่นรถช้าๆ ให้ราษฎรเห็นหน้ากันโดยทั่วถึง”

วันที่ 19 สิงหาคม “วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาที่ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลา

พระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหา หยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่ามีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก”

“ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้ชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งขาใครบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุดถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งขึ้นมาดังๆ ว่า อย่าทิ้งประชาชน อยากจะร้องออกบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”

“เมื่อขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ยังมองเห็นเหล่าราษฎร ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องอวยชัยให้พร แต่เมื่อคนประจำเครื่องบินเริ่มเดินเครื่องทีละเครื่องๆ เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงโห่ร้องก้องกังวานของประชาชนที่ดังอยู่หมด พอถึง 12 นาฬิกา เราก็ออกเดินทางมาบินวนอยู่เหนือพระนครสามรอบ ยังมองเห็นประชาชนแหงนดูเครื่องบินทั่วถนนทุกสายในพระนคร”

วันที่ 20 สิงหาคม พระองค์เสด็จฯ โดยเครื่องบินที่ประทับออกจากเมืองเนแกมโบ ใกล้กับโคลัมโบ ไปประทับค้างคืนต่อที่เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน

วันที่ 21 สิงหาคม ระหว่างที่พระองค์เสด็จฯ โดยเครื่องบินที่ประทับออกเดินทางต่อไปยังสนามบินอัลมาซา ใกล้กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ทรงพระราชดำเนินเข้าไปในห้องหนึ่งที่ผู้โดยสารอยากเข้าไปที่สุด

“ข้าพเจ้าชอบเดินไปที่ที่นักบินขับบ่อยๆ และนั่งลงข้างๆ ตรงที่นั่งของนักบินสำรอง ช่างมีเครื่องบังคับหลายอย่างเสียจริงๆ บังคับปีก บังคับใบพัดเครื่องยนต์ ถังน้ำมัน และอื่นๆ อีกมาก ในตอนต้นๆ ออกจะงงๆ แต่นักบินเป็นคนที่สุภาพมาก ได้พยายามชี้แจงให้เข้าใจถึงเครื่องทุกๆ ส่วนที่มีอยู่”

w580

วันที่ 22 สิงหาคม “ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย เมื่อสามวันที่แล้วมา เรายังอยู่เมืองไทย แล้ววันนี้เราจะถึงสวิทเซอร์แลนด์แล้ว ระยะทางตั้ง 10,000 กิโลเมตรกว่า…เวลา 15.00 นาฬิกา เราต้องบินฝ่ากระแสลมอันแรง ทำให้เครื่องบินต้องช้าลงและช้าไปกว่ากำหนด 15 นาที เมื่อเวลา 16 นาฬิกา ช้ามากขึ้นอีกเป็น 45 นาที เรากำลังบินอยู่เหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บางเวลาก็แลเห็นเกาะต่างๆ เกาะใหญ่ที่สุดคือเกาะซาร์ดิเนียและคอร์ซิกา กว่าจะแลเห็นฝั่งก็ 16.40 นาฬิกา เป็นชายฝั่งของฝรั่งเศส อีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น เราจะถึงสวิทเซอร์แลนด์แล้ว…จากขอบฟ้าสลัวๆ ที่บดบังด้วยเมฆหมอกแลเห็นเมืองๆ หนึ่งอยู่ริมทะเลสาบใหญ่ เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่เมืองนั้นคือเมืองเจนีวา อันเป็นที่หมายปลายทางที่เรามาด้วยเครื่องบิน และเราจะต้องพรากจากพวกประจำเรือไป คนประจำเครื่องบินเหล่านี้เป็นคนที่ดีต่อเรามาก ได้ให้เครื่องถมเป็นที่ระลึก บินอยู่รอบเมืองรอบหนึ่งแล้วก็ร่อนลงสู่พื้นดินเมื่อเวลา 17.55 นาฬิกา

“อธิบดีกรมพิธีการและเอกอัครราชทูตไทยนั่งรถไปกับข้าพเจ้าด้วย อธิบดีกรมพิธีการเล่าให้ฟังว่ารัฐบาลสวิทมีความยินดีนักที่ข้าพเจ้าเลือกมาอยู่และมาศึกษาที่สวิทเซอร์แลนด์นี้ บอกเขาว่าชอบประเทศนี้มาก เขาได้ชี้ชวนให้ชมสถานที่ต่างๆ ที่ผ่านมา โดยคิดว่าข้าพเจ้าไม่รู้จัก และรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ทราบข่าวว่าข้าพเจ้ารู้จักสถานที่เหล่านี้แล้วเป็นอย่างดี เพราะอยู่ที่นี่มาถึง 15 ปีเศษแล้ว”

“พอถึงวิลลาวัฒนา เขาก็ลากลับ อำนวยพรให้เรามีความสุขความเจริญ ข้าพเจ้าจึงขอให้นำคำขอบใจของข้าพเจ้าไปแจ้งต่อท่านประธานาธิบดีพร้อมทั้งคำอวยพร เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศนั้นด้วย”

“เรากลับถึงโลซานน์แล้ว…ไม่ช้า ข้าพเจ้าจะต้องเข้าเรียนต่อไป…”

ภูมิพลอดุลยเดช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image