เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการเข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ มีพสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสักการะพระบรมศพอย่างเนืองแน่นเป็นพิเศษ เนื่องจากตรงกับช่วงวันหยุดยาว และใกล้กับช่วงวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 วันที่ 5 ธันวาคม ขณะที่สภาพอากาศมีลมพัดเย็น แดดไม่แรง ทำให้อากาศโดยรอบสนามหลวงและพระบรมมหาราชวังค่อนข้างเย็นสบายกว่าทุกวันที่ผ่านมา
นายแก้ว คำมาก อายุ 61 ปี ชาวนาจาก ต.เมืองชุม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ที่เดินทางมาพร้อมกับกลุ่มชาวนาผู้สูงอายุ จำนวน 50 คน กล่าวว่า เมื่อทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สวรรคต ก็รู้สึกเสียใจมาก และชาวบ้านใน ต.เมืองชุม ก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน จึงรวมกลุ่มกันเหมารถโดยสาร 1 คันมาจากเชียงราย เพื่อเข้ากราบสักการะพระบรมศพ โดยมาถึงพระบรมมหาราชวังตั้งแต่เวลา 01.00 น. รอประมาณ 9 ชั่วโมงจึงได้เข้าสักการะ ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด เพราะมาด้วยหัวใจที่มีต่อพระองค์ท่าน ซึ่งแม้ว่าตลอดช่วงชีวิตนี้จะไม่ได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จพระองค์เลย แต่รู้สึกรักพระองค์มาก เพราะพระองค์ได้พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้พสกนิกรได้น้อมนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต
นางก๋าย จันทร์ สุริยะ อายุ 66 ปี ชาวนาจาก ต.เมืองชุม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย กล่าวด้วยความตื้นตันใจว่า รู้สึกรักพระองค์ท่านมาก เมื่อทราบข่าวการสวรรคต หัวใจแทบสลาย ไม่อยากเชื่อและไม่อยากจะให้เป็นเรื่องจริง เพราะพระองค์ทรงเปรียบเสมือนพ่อ เป็นศูนย์รวมดวงใจของพสกนิกรชาวไทย พระองค์ทรงงานอย่างหนัก เพื่อให้ชาวไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยังพระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำให้ชีวิตของตนปลดเปลื้องจากภาระหนี้สินไปได้ จนมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น
“เมื่อก่อนยายก็จะทำนาเพียงอย่างเดียว เป็นการเกษตรเชิงเดียว ทำให้ประสบภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างมาก มีหนี้ประมาณ 3-4 แสนบาท แต่พอพระองค์ได้พระราชทานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ยายก็ได้น้อมนำมาใช้และเริ่มเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต หันมาทำเกษตรผสมผสาน ปลูกผักสวนครัว ขุดบ่อน้ำเลี้ยงปลานิล ทำปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ต้องไปซื้อ หรือกู้ยืมเงินมาใช้อีก ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้จำนำมาก จนปัจจุบันยายไม่มีหนี้สินอีกแล้ว นับเป็นชีวิตใหม่ที่พระองค์พระราชทานให้แก่ชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง” นางก๋ายกล่าวเสียงสั่นเครือและมีน้ำตาไหล
