พสกนิกรสักการะพระบรมศพแน่น ฝากบอกคนไทยอย่าลืมคำสัญญาหลังสวรรคตที่พูดว่า ‘จะทำดีตามรอยพ่อ’

เมื่อวันที่ 11 มกราคม งานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ดำเนินมาเป็นวันที่ 90 ส่วนการเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ดำเนินมาเป็นวันที่ 72

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง แม้จะมีสายฝนโปรยปรายลงมาในช่วงเช้ามืดก็ตาม ทว่ามีประชาชนจากทั่วสารทิศแต่งกายด้วยชุดดำเรียบร้อยทยอยเดินทางมาต่อแถวอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้สำนักพระราชวังเปิดให้เข้ากราบถวายสักการะตั้งแต่เวลา 04.50 น. จากเวลาปกติเปิดเวลา 08.00 น.

น.ส.จิดาภา มณฑา อายุ 44 ปี พนักงานบริษัทเอกชน กล่าวถึงความรู้สึกหลังการเข้าสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศว่า ตนได้เดินออกมาจากที่พักแถวรังสิต จ.ปทุมธานีเพียงลำพัง ตั้งแต่เวลา 02.00 น. และมาถึงท้องสนามหลวงประมาณ 02.30 น. โดยการมาในครั้งนี้ตนอยากมาเห็นกับตา อยากมาสัมผัสบรรยากาศ ความรู้สึกต่างๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก ตนรู้สึกตื้นตันใจมากที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสมาร่วมสักการะ เพราะตนทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นอกเสียจากการนำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ ทั้งในเรื่องความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา ความประหยัดมัธยัสถ์ และสิ่งสำคัญคือ ความพอเพียงไม่ทำอะไรเกินตัว อย่างตนแม้ไม่ได้มีที่ดินผืนใหญ่ที่สามารถทำไร่ทำสวนได้ แต่ตนก็นำขวดน้ำมาทำเป็นกระถางปลูกต้นไม้หรือใช้พื้นที่เล็กๆ ริมระเบียงบ้านปลูกผักสวนครัวกินเอง แค่นี้ก็ถือเป็นความพอเพียงที่ตั้งอยู่บนความพอดีแล้ว นอกจากนี้เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาตนยังได้ไปปฏิบัติธรรมบวชพราหมณ์เป็นเวลา 3 วันที่วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย

“อยากบอกคนไทยว่า อยากให้ช่วยกันทำความดี แม้จะเป็นความดีเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อทุกคนร่วมกันทำแล้วสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ก็จะกลายเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำด้วยกายใจที่บริสุทธิ์ ก็จะช่วยยกสังคมไทยให้สูงขึ้นได้ หรือไม่เช่นนั้นก็ขอให้เดินรอยตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเสียสละทรงงานหนักต่างๆ เพื่อปวงชนชาวไทยทุกคน” น.ส.จิดาภา กล่าว

Advertisement
น.ส.จิดาภา มณฑา
จิดาภา มณฑา

นายพัฒนา พันธิวา อายุ 72 ปี จาก อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เปิดเผยหลังเข้ากราบสักการะพระบรมศพว่า นับเป็นความปลาบปลื้มใจจริงๆ ที่ได้มีโอกาสเข้ากราบพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่รักและเคารพยิ่ง ในความทรงจำตนเคยถือธงชาติไทย และรับเสด็จฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมัยเรียนชั้น ป.2 ขณะนั้นพระองค์เสด็จฯ ในหมู่บ้านมีประชาชนเฝ้าฯ รับเสด็จ เนืองแน่น สำหรับตนแค่ได้เห็นรถพระที่นั่งก็รู้สึกถึงพระบารมีที่ปกคลุมทั่วทุกแผ่นดินไทย

“ถ้าไม่มีพระองค์ก็จะไม่มีเราในวันนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทุกอย่างพระองค์ได้สร้างไว้หมดแล้ว ในถิ่นทุรกันดารที่รถยนต์เข้าไม่ถึง พระองค์ก็เสด็จฯ มาแล้ว นับเป็นความโชคดีของพวกเราทุกคน ผมเก็บภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้มากมาย ในทุกๆ พระอิริยาบถ เป็นความทรงจำที่จะเก็บไว้ในหัวใจตลอดไป ทุกวันนี้คิดถึงพระองค์ครั้งใด ก็อยากร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณทุกครั้ง” นายพัฒนา กล่าวด้วยความตื้นตันใจ

นายพัฒนา พันธิวา
พัฒนา พันธิวา

น.ส.กฤตินี ศิลปี ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารมูลนิธิรักษ์ไทย เดินทางมาสักการะพระบรมศพพร้อมเพื่อน นายวรภัทร อนาวรญาณ อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน กล่าวถึงความประทับใจที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ว่า ตนเดินทางมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งไม่ว่าจะมาสักกี่ครั้งก็เปี่ยมล้นไปด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ทุกครั้ง ปัจจุบันได้ทำงานเดินตามรอยพระองค์อยู่แล้ว อย่างมูลนิธิรักษ์ไทยของตนก็เป็นมูลนิธิที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในประเทศไทย ล่าสุดได้รับขอรับบริจาคสิ่งของเพื่อส่งต่อน้ำใจไปยังผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ด้วย สิ่งดีๆ เหล่านี้ล้วนมาจากคำสอนของพระองค์ที่ให้คนไทยมีน้ำใจ ช่วยเหลือกัน

Advertisement

“ส่วนความรู้สึกที่เข้ากราบสักการะพระบรมศพวันนี้คือ ทุกครั้งที่เห็นพระบรมโกศเหมือนเป็นความรักที่ส่งผ่านสายตาและดวงใจที่ส่งต่อพระองค์ แม้ในวันนี้พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว แต่ยังคงสถิตอยู่ในดวงใจของตนเสมอ และอยากบอกคนไทยทุกคนว่า ภายหลังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตแล้วพวกท่านสัญญาว่า จะทำดีตามรอยเท้าพ่อ ก็อย่าลืมคำสัญญานั้น ไม่ใช่วันเวลาผ่านไปแล้วจะลืมคำพูดดังกล่าว ขอให้จำความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้และทำดีต่อไปเรื่อยๆ” น.ส.กฤตินี กล่าว

น.ส.กฤตินี ศิลปี (ขวา) นายวรภัทร อนาวรญาณ (ซ้าย)
กฤตินี ศิลปี (ขวา) วรภัทร อนาวรญาณ (ซ้าย)

นายวรภัทร กล่าวว่า สำหรับตนได้เดินทางมาเป็นครั้งแรก หลังจากเมื่อวานที่ทำงานเสร็จก็กลับมาเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางจากบ้านประมาณเวลา 02.00 น. หรืออาจกล่าวได้ว่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้นอนเลย แต่บวกกับความรู้สึกตื่นเต้นแล้ว ตนก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรือท้อแม้แต่น้อย อีกอย่างตนเป็นบุคคลหนึ่งที่ชื่นชอบการฟังเพลงที่เกี่ยวข้องกับในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก ทั้งเก็บแผ่นซีดีที่ทรงบรรเลงเพลงต่างๆ จนเต็มบ้านไปหมด สาเหตุที่ชอบก็เพราะชอบทำนองและความหมายของเพลง เช่น เพลงต้นไม้ของพ่อ พระราชาผู้ทรงธรรม และเมื่อค่อยๆ แกะเนื้อเพลงทีละคำจะพบว่ามีเนื้อหาอันลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใน ฟังทีไรน้ำตาเอ่อล้นทุกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ตนยังได้ซึมซับเรื่องราวการดนตรีของพระองค์ผ่านคุณลุง นายแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ สมาชิกวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ ที่ได้ทำงานร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็น 15 ปี คุณลุงก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการดนตรี จนตนได้ซึมซับมาตลอด

“เรามักคิดว่ากษัตริย์ในนิทานไม่มีอยู่จริง แต่กษัตริย์ที่เป็นทั้งผู้ให้และผู้เสียสละในขณะเดียวกันยิ่งกว่ากษัตริย์ในนิทานมีอยู่จริง คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” นายวรภัทรกล่าว

ร.อ.วสันต์ บุตรสนิท
ร.อ.วสันต์ บุตรสนิท

ร.อ.วสันต์ บุตรสนิท อายุ 54 ปี พสกนิกรจาก จ.นครราชสีมา อดีตข้าราชการกองพันทหารม้าที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา เดินทางมาโดยรถตู้พร้อมเพื่อนบ้านมารอคิวเพื่อเข้ากราบพระบรมศพบริเวณสนามหลวงตั้งแต่เวลา 01.00 น. เปิดเผยว่า เคยได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ด้วยความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทุกวันนี้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีต่อปวงชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง ตัวเองได้ลงพื้นที่ไปเรียนรู้ในโครงการพระราชดำริเกือบทุกที่ ก็เห็นว่าในทุกพื้นที่ที่พระองค์ทรงช่วยเหลือ สร้างความร่มเย็นเป็นสุข เป็นความภาคภูมิใจที่ได้มากราบพระองค์ใกล้ชิด เพราะต่อให้บอกต่อๆ กันว่ามาแล้วรู้สึกอย่างไรก็คงไม่เหมือนมาด้วยตัวเอง

“ผมจำได้ดีในหลวงรัชกาลที่ 9 มีรับสั่งในพิธีสวนสนามครั้งหนึ่งว่า ให้รักชาติและสามัคคี ซึ่งผมก็ได้ปฏิบัติมาตลอดแม้ว่าเกษียณอายุราชการออกมาก่อน และเมื่อได้มาเห็นคนไทยที่พร้อมใจกันมากราบสักการะพระบรมศพจำนวนมาก ก็ยิ่งเห็นว่าคนไทยรักพระองค์และรักกันมาก นอกจากนี้ยังได้นำสิ่งต่างๆ ที่เคยได้เรียนรู้จากโครงการของพระองค์ไปบอกต่อพลทหารรุ่นใหม่เพื่อให้เข้าถึง เข้าใจและพัฒนา เป็นไปตามหลักของในหลวง รวมถึงตัวเองได้น้อมนำเรื่องของเกษตรพอเพียงมาใช้ในครัวเรือน ปลูกผักเลี้ยงปลาตามหลักที่พระองค์ทรงสอน ปลูกเพื่อกินหากเหลือก็นำไปขาย เป็นการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และยึดความกตัญญูดูแลบิดามาดา และตาที่ิอายุ 97 ปี ไม่ทอดทิ้งพวกท่าน” ร.อ.วสันต์กล่าว

ทั้งนี้ สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 10 มกราคม หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.00 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 40,761 คน รวม 71 วัน มี 3,078,507 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,149,657 บาท รวม 71 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 251,917,981 บาท

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image