เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่เต็นท์หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางออกประตูสรีสุนทร เจ้าหน้าที่กองงานในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายบัตรอวยพร พร้อมไดอารี่ พระราชทานว่า ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม จนถึงวันนี้ ที่ได้จำหน่ายบัตรอวยพร ปี 2560 รวม 4 แบบ ซึ่งวางขายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 200,000 ชุด และยอดจำหน่ายไดอารี่พระราชทาน พ.ศ.๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้มีจำนวน 50,000 ชุด โดยไดอารี่พระราชทานนั้นมีจำหน่ายเพียงที่เดียวเท่านั้นคือประตูสรีสุนทร ซึ่งเป็นประตูทางออกของประชาชนหลังสักการะพระบรมศพ ซึ่งยอดจำหน่ายทั้งบัตรอวยพร และไดอารี่พระราชทาน พ.ศ.๒๕๖๐ รวมเงินทั้งสิ้น 24 ล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะได้พระราชทานให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ และสมทบทุนในการสร้างตึกนวมินทรบพิตร 84 พรรษา อันเป็นโครงการสุดท้ายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแนวทางในการแก้ปัญหาให้แก่โรงพยาบาลศิริราช เรื่องความพอเพียงในการรองรับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาพยาบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 132 พสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศยังคงเดินทางมาเข้าคิวสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ หรือเด็กนักเรียนที่ใช้โอกาสวันหยุด และเมื่อสักการะพระบรมศพเรียบร้อยแล้ว หลายคนต่างเข้ากราบขอพรวัดพระแก้ว และชมนิทรรศการเย็นศิระ เพราะพระบริบาล
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม หลังสำนักพระราชวัง ปิดเวลา 21.15 น.ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 31,744 คน รวม 131 วัน มี 5,214,746 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,078,335.50 บาท รวม 131 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 437,462,934.59 บาท
นางปุณณัฐฐา หล่อปุรทรัพย์ อายุ 54 ปี อาชีพแม่บ้าน และ นางฉัตร์ชลี สุขมา อายุ 55 ปี พนักงานโรงงานเย็นผ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก กล่าวร่วมกันว่า เดินทางมาด้วยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพิ่งเข้ามาครั้งแรก เมื่อขึ้นไปแล้วก็รู้สึกขนลุก ปลื้มปีติ อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ตลอดชีวิตประทับใจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทุกๆ ด้าน อยู่ในดวงใจของพวกเราคนไทยตลอดไป ทั้งความอดทน อดกลั้น ความดีและความพยายามของพระองค์ เช่น ในหลวงร.9 ทรงอดทนอดกลั้นกับการทำงาน และคนไม่ดี พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของการปิดทองหลังพระที่แท้จริง ทำดีอย่างไม่หวังผลตอบแทน แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในชีวิตจริงได้อย่างดี
นางฉัตร์ชลี เผยอีกว่า อย่างเรื่องความรักให้กับคนในครอบครัวของพระองค์นั้น เป็นเรื่องสำคัญ ก่อนหน้านี้ในครอบครัวไม่กล้าจะกอดจะหอมกัน แต่ภาพที่ในหลวงร.9 ทรงกอด สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กลายเป็นภาพตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินท่านยังทรงปฏิบัติกับพระราชมารดาโดยไม่เขินอาย รวมไปถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้ปฏิบัติ ยึดใช้มาตลอด
นางสาวเกวลิน ล้วนดี อายุ 33 ปี และนางสาวนิภา ใต่ไม้งาม อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี ร่วมกันเล่าความรู้สึกหลังจากได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มาประทับใจมาก พากันเดินทางโดยรถประจำทางจากบ้านเกิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นวานนี้ มาถึงสนามหลวงแล้วเข้าคิวรอเมื่อเวลาตี 5 ครึ่ง และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเวลา 7 โมงครึ่ง ใช้เวลารอ 2 ชั่วโมงถือว่าเร็วกว่าที่คิดไว้มาก นอกจากจะภูมิใจที่ได้มากราบในหลวง ร.9 แล้วยังประทับใจที่เห็นผู้คนมากันมากมาย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาอีกเรื่อยๆ
“เราอยู่อุดรฯ ไกลจากกรุงเทพฯ พอสมควร ไม่เคยรับเสด็จในหลวง ร.9 สักครั้งในชีวิต ทำให้ต้องมากราบพระองค์ให้ได้เป็นครั้งสุดท้าย พระองค์ทรงงานลำบากเพื่อประชาชนมาตลอด รู้สึกรักพระองค์มาก ไม่ว่าจะเดินทางลำบากแค่ไหนบอกกับตัวเองและเพื่อนที่มาด้วยกันว่าต้องมาให้ได้ พอได้มาก็ตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ตัวเองทำนา พอหน้าแล้งก็ปลูกอ้อย ก็ได้ประโยชน์จากโครงการเกี่ยวกับน้ำของในหลวง อย่างเขื่อนอุบลรัตน์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งอยู่ในอุดรฯ แต่ก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย เพราะมีคลองส่งน้ำมาถึง ทำให้มีน้ำท่าปลูกอ้อยยามหน้าแล้ง ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการพึ่งตัวเอง ปลูกข้าว ปลูกผักไว้กินเอง เพื่อนบ้านก็ทำเหมือนกัน แล้วเอามาแบ่งกันกิน อยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาอะไรมากมาย คิดว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้แหละ มีความสุขดี” นางสาวเกวลิน กล่าว
