ดับฝัน! ผับ บาร์ คาราโอเกะรอต่อไป ศบค.ย้ำเปิดเมื่อพร้อม หวั่นโควิดลามช่วงปีใหม่เสียภาพลักษณ์ ปท.

ดับฝัน! ผับ บาร์ คาราโอเกะรอต่อไป ‘ศบค.’ ไม่ฟิกเวลา ย้ำเปิดเมื่อพร้อม หวั่นโควิดลามช่วงปีใหม่เสียภาพลักษณ์ประเทศ ยกเลิกเคอร์ฟิว นทท.เข้าประเทศตรวจแค่ ATK

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. เปิดเผยภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า สถานการณ์ผู้ป่วย รายใหม่ 6,559 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,066,023 ราย หายป่วย 6,875 ราย เสียชีวิต 64 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 80,277 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 341 ราย

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ชี้แจงรายละเอียด สถานการณ์ผู้ป่วยรายใหม่ ต่ำกว่าเส้นคาดการณ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของประชาชน แต่มีข้อสังเกตช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเลขทรงตัว เป็นข้อกังวล นำมาสู่การตัดสินใจในทิศทางต่างๆ โดยที่ประชุมเห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 ถึง วันที่ 31 มกราคม 2565 ถือเป็นการขยายระยะเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นครั้งที่ 15 ด้วยเหตุผลในการควบคุมโรคเป็นหลัก และมีมติปรับระดับสถานการณ์พื้นที่ควบคุมทั่วราชอาณาจักร ดังนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม จากเดิมมี 6 จังหวัด จากนี้ไม่มีแล้ว และยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน พื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดง 39 จังหวัด เหลือ 23 จังหวัด พื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม คงเดิม 23 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง 5 จังหวัด เพิ่มเป็น 24 จังหวัด ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสีเขียว ไม่มี พื้นที่สีฟ้า หรือพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 4 จังหวัด เพิ่มเป็น 7 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ กระบี่ พังงา ภูเก็ต กาญจนบุรี นนทบุรี และปทุมธานี ที่ประชุมได้แจ้งมีพื้นที่ปรับใหม่ เป็นพื้นที่สีฟ้า โดยไม่ได้ปรับทั้งจังหวัด แต่ปรับเป็นบางอำเภอที่มีความพร้อม

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือการปรับมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในกิจการ สถานบันเทิง โดยที่ประชุมใช้เวลาหารือเรืองดังกล่าวพอสมควร และที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากขอให้พิจารณาปรับลดระยะเวลา เปิดดำเนินการภายในเดือนธันวาคม ซึ่งทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้อง และมีข้อคิดเห็นกรณีที่ต้องเปิดบริการ จะมีความเสี่ยงหลายประเด็น อย่างผับ บาร์ คาราโอเกะ จะมีปัญหาเรื่องการถ่ายเทอากาศ ขณะที่พฤติกรรมของคนคือ การดื่ม จะต้องมีการเปิดหน้ากากอนามัย มีการพูดคุยการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้การประคองสติมีปัญหา มีละอองฝอยที่เกิดขึ้นจากการพูดคุย อีกทั้งระยะเวลาที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจะนานกว่าปกติ หลายชั่วโมง และถ้าย้อนกลับไปการติดเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์ใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงมีไม่ต่ำกว่า 2 คลัสเตอร์

“ปีที่ผ่านมาประเทศไทยพลาดการฉลองปีใหม่ เพราะมีการติดเชื้อ ทำให้ภาพลักษณ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวขาดช่วง ที่ประชุมจึงเห็นว่า การเปิดสถานบันเทิงให้ดูความพร้อม ไม่ต้องยึดกำหนดการเดิมคือ วันที่ 16 มกราคม 2565 ทั้งนี้หากสถานบันเทิงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ อาจจะเปิดได้ก่อนวันที่ 16 มกราคม 2565 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า มาตรการของสถานบันเทิงที่ต้องการเปิดให้บริหาร ต้องมี COVID Free setting เน้นในเรื่องการดูแลส่วนบุคคล การให้บริหารลูกค้า และการดูแลสิ่งแวดล้อม อยากให้ผู้ประกอบการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อจะได้กลับมาดำเนินการ ส่วนผลกระทบเรื่องรายได้ นายกฯมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน สำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบ และให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดูรายละเอียด และหาทางเยียวยาต่อไป ทั้งนี้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการดูแลสถานการณ์ช่วงปีใหม่มีความสำคัญสูงมาก ถ้าเราดูแลและทำให้การฉลองปีใหม่เกิดเป็นภาพที่ดีในระดับประเทศ จะส่งเสริมธุรกิจอีกหลายด้าน ทำให้ประเทศไทยมีชื่อว่า ดูแลควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีมาตรฐาน” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

Advertisement

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ที่ประชุมีมติเห็นชอบปรับมาตรการป้องกันการควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR ซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการรอ เหลือเพียงตรวจ ATK แล้วสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทันที ขณะเดียวกันเพิ่มการเดินทางเข้าประเทศทางบกและทางเรือ โดยทางบกจะนำร่องเข้าผ่านทางจังหวัดหนองคาย เริ่ม 24 ธันวาคม ส่วนทางเรือจะมีข้อกำหนด คือ ต้องได้รับวัคซีน มีการตรวจ RT-PCR บนเรือ เป็นต้น ส่วนคนไทยที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ และต้องการขอวัคซีนพาสปอร์ต สามารถขอเอกสารรับรองอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รายงานสถานการณ์แรงงานในประเทศไทยและความก้าวหน้าในการนำแรงงานเข้าประเทศ โดยเป้าหมายแรงงานที่ไทยต้องการคือ 424,703 ราย และมีการเปิดสถานที่กักตัว 5 จังหวัด คือ ตาก ระนอง หนองคาย มุกดาหาร และสระแก้ว รวมถึงได้มีการพูดคุยกับประเทศต้นทางทั้งลาว และเมียนมา เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการไม่ต้องนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย เพราะอีกไม่นานจะมีการนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายกว่า 4 แสนคน ซึ่งปลอดโรคปลอดภัย คุ้มค่ากับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image