การขาย สินค้าออนไลน์ เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริมในนามบุคคลธรรมดา ไม่ต้องมีการลงทุนหน้าร้านและสามารถเลือกสินค้ามาขายได้หลากหลายตามลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ อย่างไรก็ดี เมื่อมีรายได้แล้ว สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญตามมาคือเรื่อง “ภาษี” ซึ่งภาษีที่ต้องรู้มีอะไรบ้างนั้น มันนี่ทิป มีข้อมูลจาก ธนาคารกสิกรไทย มาฝากกันค่ะ
สำหรับบุคคลธรรมดาเมื่อมีรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ต้องนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย เพราะรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ถือเป็นรายได้ประเภทหนึ่งที่นอกจากต้องนำไปรวมกับรายได้อื่น เช่น เงินเดือน โบนัส เพื่อยื่นภาษีสิ้นปีตามแบบ ภ.ง.ด.90 แล้ว ยังต้องนำรายได้ประเภทนี้ไปยื่นภาษีครึ่งปีตามแบบ ภ.ง.ด.94 เช่นกัน สำหรับการยื่นภาษีครึ่งปีต้องพิจารณาก่อนว่าในครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขายรวมแล้วเป็นจำนวนเท่าไร หากรวมกันแล้วเกิน 60,000 บาท สำหรับคนโสด หรือสำหรับผู้ที่สมรสแล้วและทั้งคู่มีรายได้จากการขายของรวมกันเกิน 120,000 บาท ถือว่าเข้าเงื่อนไขที่ต้องยื่นภาษีครึ่งปีในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน หากต้องการลดรายจ่ายภาษีครึ่งปีลงจะต้องมีการวางแผนภาษี โดยสามารถลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือแอลทีเอฟ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ เบี้ยประกันชีวิต และดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน โดยเกณฑ์หรือสิทธิสูงสุดในการลงทุนกองทุนแอลทีเอฟ และกองทุนอาร์เอ็มเอฟมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับเกณฑ์ช่วงสิ้นปี
ทั้งนี้ รายได้ที่ยื่นครึ่งปีไปแล้วยังต้องนำไปยื่นภาษีสิ้นปีอีกครั้ง โดยการยื่นภาษีสิ้นปีนั้นเป็นการนำรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดปีภาษี หากคำนวณแล้วพบว่ายังมีภาษีที่ต้องชำระเพิ่มก็ต้องดำเนินการชำระภายในมีนาคมของปีถัดจากปีภาษี แต่หากคำนวณแล้วพบว่าที่ผ่านมาภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมกับภาษีครึ่งปีที่ได้ชำระไปแล้วมากกว่าภาษีสิ้นปีที่คำนวณ สามารถดำเนินการขอคืนภาษีส่วนต่างนั้นได้
คนที่คิดว่าจะไม่ยื่นภาษีครึ่งปีรอยื่นครั้งเดียวสิ้นปีนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี โดยส่งผลให้มีเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระนับตั้งแต่เดือนตุลาคมและค่าปรับอีก 2,000 บาท อย่างไรก็ตาม การยื่นภาษีครึ่งปีนั้นมีข้อดี เพราะเสมือนเป็นการทยอยชำระภาษีส่วนหนึ่งก่อนนั่นเองค่ะ โดยการยื่นและเสียภาษีที่ถูกต้องถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือของรายได้และเพื่อเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ค่ะ
กระปุกหมู
