‘ฟอร์ด’แนะขับรถอย่างรับผิดชอบ เพื่อความปลอดภัยในช่วงฤดูฝน

รายงานข่าวจากฟอร์ดแจ้งว่า ผลการสำรวจจากกระทรวงคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นในวันฝนตกและเกือบหนึ่งในสี่ของอุบัติเหตุในประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป ร้อยละ 73 เกิดขึ้นบนถนนเปียก ร้อยละ 46 เกิดขึ้นขณะฝนตกเพียงร้อยละ 17 เกิดขึ้นในช่วงหิมะหรือลูกเห็บตกและร้อยละ 13 เกิดขึ้นบนพื้นถนนมีน้ำแข็งปกคลุม สำหรับประเทศไทยจากรายงานของกรมขนส่งทางบก สถิติอุบัติเหตุจราจรปีงบประมาณ 2559 (เดือนตุลาคม 2558 -กันยายน 2559) ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นถึง 75,476 ครั้ง มักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อระดับน้ำฝนเพิ่มสูงขึ้นเลยตำแหน่งเครื่องหมายจราจรบนถนน ผู้ขับจะไม่สามารถเห็นเครื่องหมายจราจรบนพื้นถนนถึงแม้จะเป็นแบบสะท้อนแสงและเปิดไฟหน้ารถยนต์แล้วก็ตาม ผู้ขับส่วนใหญ่คิดว่าการขับรถขณะฝนตกเป็นสิ่งที่ยอมรับได้แต่หารู้ไม่ว่าการขับรถในสภาพอากาศเลวร้ายไม่เพียงแต่ใช้สัญชาตญาณเท่านั้น แต่จำเป็นต้องใช้ทักษะการขับและมีความรู้เฉพาะที่แตกต่างจากการขับขี่บนท้องถนนปกติอีกด้วย

ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการขับรถในสภาพอากาศเลวร้าย 1.ลดความเร็วลง เพราะความเร็วสูงสุดกำหนดไว้สำหรับถนนเส้นนั้นเป็นความเร็วกำหนดให้ใช้ได้ในสภาพถนนปกติเท่านั้น ไม่ควรใช้ความเร็วดังกล่าวเมื่อต้องขับรถบนพื้นถนนเปียก ฝนเป็นสิ่งที่เตือนให้คุณลดความเร็วลงและเพิ่มความความระมัดระวังมากขึ้น

2.เพิ่มทัศนวิสัยระหว่างฝนตก ฝนตกอย่างฉับพลันส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับรถโดยตรง และทำให้การสังเกตสัญญาณจราจรตามท้องถนนยากขึ้น การมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จะทำให้คุณมีโอกาสดีที่สุดในการรับมือกับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อไป หนึ่งในทางที่ดีที่สุดคือการขับรถอยู่ในเลนที่ไม่มีรถข้างหน้าบังสายตา หรือขับตามรถคันข้างหน้าที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ในระยะห่างปลอดภัย เพื่อสามารถมองเห็นรถคันข้างหน้า รวมถึงพื้นที่ด้านหน้าของรถคันหน้า อย่าขับตามรถบรรทุกคันใหญ่ๆ บดบังทัศนวิสัยของคุณ

Advertisement

3.สิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อเจอผิวถนนที่ชำรุดระวังแอ่งน้ำบนถนน แอ่งน้ำเล็กๆ อาจซ่อนหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นหากมีน้ำมากพอ ยางรถยนต์อาจไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทันและส่งผลให้รถไม่เกาะถนน ที่ความเร็วหนึ่ง รถจะลอยตัวขึ้นจากพื้นและคุณจะขับรถอยู่บนผิวน้ำ หากรถของคุณเริ่มลอยตัวพยายามลดความเร็วลงอย่างช้าๆ เบาๆ จนกระทั่งการควบคุมรถค่อยๆ กลับมา หลีกเลี่ยงการหักเลี้ยวอย่างกะทันหัน การเบรกกะทันหันหรือการเข้าโค้งเร็วเกินไป

4.อย่าขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม อย่าประมาทอันตรายของน้ำท่วม อย่าพยายามขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วมในระดับที่คุณไม่สามารถเดินผ่านได้ และระวังจุดที่น้ำท่วมขังอยู่บนพื้นถนน เพราะใต้น้ำท่วมขังอาจไม่มีพื้นถนนอยู่ น้ำท่วมอาจพัดเอาพื้นถนนออกไปทั้งหมดรวมถึงพื้นถนนจำนวนมาก และหากน้ำเข้าไปยังวาล์วไอดีและเครื่องยนต์ รถอาจจะดับและคุณจะติดอยู่ในรถ

5.ให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและถนนบนภูเขาระมัดระวังเป็นพิเศษกับเศษซากต่างๆ บนพื้นถนน เช่น ก้อนหิน อาจถูกทำให้เคลื่อนที่โดยสายฝน ถนนเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจะทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น ถนนจะถูกกัดเซาะและทำให้เปลี่ยนสภาพไป จนอาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือสไลด์ของหน้าดิน อย่าขับรถชิดขอบถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก หรือถนนประเภทลูกรังในขณะถนนเปียก เนื่องจากพื้นถนนจะอ่อนตัวเกิดการไหลของน้ำและการกัดเซาะ ใส่ใจและให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับการขึ้นลงเนินเขา เนื่องจากระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบบังคับเลี้ยว และระบบเบรกของรถอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพบนพื้นถนนลื่น

Advertisement

6.เตรียมตัวรับมือกับสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น อันตรายบนท้องถนนไม่เพียงมีสาเหตุจากธรรมชาติอย่างเช่น ก้อนหินและกิ่งไม้เท่านั้นแต่ยังรวมถึงคนเดินเท้าทั่วไป สัตว์ต่างๆ รวมถึงรถที่ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อหลีกเลี่ยงกับสิ่งเหล่านั้น คุณต้องขับรถให้ช้าพอเพื่อที่จะสามารถสังเกตและมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ทันทีจนสามารถหยุดรถได้สนิท ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น หลักการทั่วๆ ไปคือระยะห่างจากสิ่งที่เห็น ไม่ควรน้อยกว่าสี่เท่าของระยะหยุดรถของคุณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image